#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

AAI หุ้นเมกะเทรนด์อาหารสัตว์เลี้ยง

โดย Stock Vitamins - วิตามินหุ้น
เผยแพร่:
2,046 views

อะไรเอ่ย คนซื้อไม่ได้กิน แต่ผู้ที่กินไม่ได้ซื้อ?
หลายคนตอบได้ทันที อาหารเด็กที่เราซื้อให้ลูกไง คำตอบถูกครึ่งนึงครับ จริงๆ แล้ว คำตอบ คือ อาหารสัตว์เลี้ยง

เพราะเราก็รักเหมือนลูก เลี้ยงดูอย่างดี บางมื้ออาหารดีกว่าเรากินอีก ถึงได้มีคำศัพท์ที่เรียกว่า
"Pet Humanization" หรือ การเลี้ยงสัตว์เหมือนประหนึ่งเป็นลูกของตัวเอง

วันนี้มีหุ้น IPO น้องใหม่ที่เกี่ยวกับอาหารสัตว์เลี้ยงกำลังจะเข้าตลาดเป็นวันแรก คือ AAI วิตามินหุ้นจะมาเล่าเรื่องราวน่าสนใจของเขาให้ฟังกันครับ ใครเป็นสายรักสัตว์เลี้ยงมาอ่านกันเลยครับ

ภาพรวมอาหารสัตว์เลี้ยง

1. อาหารสัตว์เลี้ยง คือ Pet Food ที่เราซื้อมาให้น้องหมาน้องแมวกิน ไม่ใช่อาหารสัตว์น้ำ อันนั้นคือ Aqua Feed ที่ซื้อไปเลี้ยงปลา กุ้ง ให้โต แล้วเอามาทำปลาทอด กุ้งเผาให้เรากิน

2. ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกใหญ่มากมีมูลค่า $110,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดกลมๆ ก็ประมาณ 4.2 ล้านล้านบาท คาดว่าจะโตต่อเนื่องปีละ 5% (ตัวเลขดูเหมือนน้อยแต่คิดเป็นมูลค่าก็เพิ่มปีละ 2 แสนล้านบาทเลยนะ)

3. ไทย เป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นอันดับที่ 3 มูลค่าการส่งออกปีละ $2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองจากเยอรมัน และสหรัฐฯ และประเทศที่เราส่งออกไปมากที่สุด คือ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อิตาลี ออสเตรเลีย

4. Pet Food เริ่มแรกก็มาจากทูน่าที่คนเรานิยมกินเนื้อขาวสวยๆ แน่นๆ แต่คนมักไม่กินเนื้อแดงหรือ Red Meat ก็เอาตรวนั้นมาทำทูน่ากัน แต่ก็ไม่ได้ว่าใส่แต่ทูน่าอย่างเดียวบางทีก็ใส่ไก่ วัว แกะ ผัก แครอท วิตามินเสริมเพิ่มเติมลงไป การทำแบบนี้เป็นได้ทั้งเพิ่มมูลค่าและบริหารจัดการต้นทุนไปในตัว


AAI หุ้นเมกะเทรนด์อาหารสัตว์เลี้ยง

1. AAI เป็นหุ้นน้องใหม่ แต่หน้าเก่าก็ตั้งมาตั้งแต่ปี 2005 เป็นธุรกิจหลักสร้างกำไรให้กับ ASIAN ที่ spin off ออกมาเข้าตลาด และไม่ได้ขายแต่ Pet Food แต่มี Human Food ด้วย โดยมีสัดส่วน Pet 85% Human 13% ที่เหลือเป็นผลพลอยได้ เช่น ปลาป่น

2. AAI เป็นโรงงานผลิตมี 2 แห่งที่ สมุทรสาคร และเมืองจีน รับจ้างผลิต OEM สัดส่วนมากถึง 97% มีแบรนด์ตัวเอง 3% ไล่เรียงจากแพงมาถูก คือ Monchou (พีพี บิวกิ้น เป็น presenter), Maria (JV กับ IP) , Hajiko (ใบเฟิร์น) และ PRO

3. AAI ส่งออกเป็นหลักสัดส่วน 93% ลูกค้า 5 รายแรก คิดเป็นสัดส่วน 60% ของยอดขายทั้งหมด รายใหญ่สุด 23-35% ตลาดส่งออกหลัก คือ สหรัฐฯ อังกฤษ ญี่ปุ่น
ลูกค้ารายหลักมีการทำสัญญายาว 5 ปี ล็อคโวลุ่มกันไว้ก่อน ส่วนราคาก็ปรับกันทุก 6 เดือน แต่ถ้าต้นทุนขึ้นลงก็คงเจรจากัน

4. ต้นทุน Pet Food 22-35% มาจากทูน่า 1-2% ปลาอื่นๆ เช่น ซาร์ดีน แมคเคอเรล 8-21% ไก่ 36-50% บรรจุภัณฑ์ โดยปลาเป็นการซื้อจากต่างประเทศ ส่วนไก่และบรรจุภัณฑ์ซื้อในประเทศ ตรงนี้มีผลต่อต้นทุนและกำไรเพราะมีความผันผวน ขึ้นกับ Demand Supply อยู่เหมือนกัน

5. กำลังการผลิตปัจจุบัน Pet Food 42,000 ตันต่อปี Utilization Rate 85% Human Food 17,500 ตันต่อปี U Rate 27.3%


ผลประกอบการของ AAI

ปี 2562 ยอดขาย 3,588 ล้านบาท กำไรสุทธิ 167 ล้านบาท
ปี 2563 ยอดขาย 4,512 ล้านบาท กำไรสุทธิ 555 ล้านบาท
ปี 2564 ยอดขาย 4,985 ล้านบาท กำไรสุทธิ 639 ล้านบาท
.
6M64 ยอดขาย 2,415 ล้านบาท กำไรสุทธิ 308 ล้านบาท
6M65 ยอดขาย 3,464 ล้านบาท กำไรสุทธิ 364 ล้านบาท


อัตรากำไรของ AAI

ปี 2562 GPM 9.9% NPM 4.6%
ปี 2563 GPM 17.4% NPM 12%
ปี 2564 GPM 21.5% NPM 12.7%

6M64 GPM 20.8% NPM 12.6%
6M65 GPM 19.1% NPM 10.4%

ยอดขาย กำไรเพิ่มขึ้นได้อย่างดีตามเทรนด์ของอาหารสัตว์เลี้ยง ลูกค้าเพิ่ม ทำสินค้าใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น บาทอ่อนก็ช่วย ส่วนในแง่ของกำไรนั้น มาร์จิ้นดีขึ้นจาก Economy of Scale ต้นทุนทูน่าในบางช่วง product mix ที่ทำ pet > human food แต่จุดสังเกต คือ มาร์จิ้นปีนี้เริ่มลดลงจากต้นทุนทูน่าที่สูงขึ้น และค่าใช้จ่ายในการขายและจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นด้วย

 

อนาคตของAAI

1.  เติบโตด้วย Volume มีแผนเพิ่ม Cap 2 เท่า ใน 4 ปี จาก 42,000 ตัน เป็น 81,750 ตันในปี 2026 แต่เป็นการทยอยเพิ่ม คือ ปีหน้า +18% ปีต่อไป +13% และจะไปเพิ่มเยอะปี 2025 +26% เพราะสร้างโรงงานใหม่เสร็จพอดี ข้อดีชองการทำแบบนี้ คือ ยอดขายทยอยโตเรื่อยๆ ทุกปี ไม่ได้มาเยอะแล้วหาย เป็นการโตแบบค่อยเป็นค่อยไปยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ตลาด

2.  เติบโตด้วย NPD ปีๆ นึงมีสินค้าใหม่ 170-210 skus คิดเป็นมูลค่า 5-9% ของยอดขายทั้งหมด มีทีม R&D ประมาณ 60 คน เพราะว่าเน้นไม่ได้เป็นแค่ OEM แต่อยากเป็น Co-Developer ร่วมกับลูกค้าด้วย และลูกค้าเวลาเข้ามาใครๆ ก็อยากได้ของใหม่สินค้าต่างจากคนอื่น R&D เลยต้องคิดสูตรกันเยอะ แต่ลองจับหารกันดูครับว่าต่อ 1 sku มูลค่าอาจจะไม่ได้มากเท่าไหร่ คือเน้นเปลี่ยนบ่อยมากกว่า คำถามคือ น้องหมาน้องแมวชอบกินอาหารไม่ซ้ำหรอ เปล่าหรอก แต่คนซื้อชอบซื้อของใหม่ๆ มากกว่า

3. เติบโตด้วยแบรนด์ตัวเอง สัดส่วน 3% ตั้งเป้าในอนาคต 5 ปี อยากให้เป็น 10% แต่ก็ต้องยอมรับว่าบริษัทไม่ได้เก่งทางนี้มาก่อน ก็จะเป็นงานที่ยากและต้องใช้เวลาซักหน่อย


คำถามที่ต้องคิดต่อ

1. COVID, Work from Home ทำให้เกิดการเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น บริโภคอาหารสัตว์มากขึ้น ทดลอง NPD มากขึ้น แล้วต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร จะโตได้มากๆ เหมือนก่อนมั้ย หรือโตอยู่แต่ลดระดับลงมา
2. ลูกค้า 5 รายมีผลกับยอดขายค่อนข้างมาก ต้องดูแลให้ดี และกระจายความเสี่ยงให้มาก
3. อัตรากำไรผ่านจุดพีคไปหรือยัง ราคาทูน่ากลับมาที่ $1600-1800 ต่อตัน ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้ว

ราคา IPO ตั้งมาจากเสียงหัวเราะและความสุข เพราะราคา 5.55 บาท โปรดติดตามว่า Trailing P/E 17 เท่า ต้องติดตามว่าตอนปิดตลาดจะจบลงด้วยรอยยิ้มหรือไม่ ใครสนใจทำการบ้านเพิ่มเติมนะครับ และอย่าลืมว่ายังมีหุ้นอีก 2 บริษัทที่ทำ Pet Food เหมือนกัน คือ TC และ ITC


การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ วิตามินหุ้นเพียงให้ข้อมูลประกอบการลงทุนเท่านั้น


ผู้ชนะแข่งขันโครงการ Stock Writer ของ stock2morrow

https://www.facebook.com/pg/stock.vitamins

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง