ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาหุ้นไทยถือว่าให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่ "Outperform" เมื่อเทียบกับหุ้นโลก
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าหุ้นไทยไม่ไปไหนมาเกือบ 10 ปีแล้ว ปัจจัยที่จะกดดันหุ้นไทยให้ลงต่อก็ไม่ได้มีมากมายนัก
ถามว่า หุ้นไทยต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป และนักลงทุนควรจะมีมุมมองอย่างไร ?
คำตอบ คือ นักลงทุนควรจะมีมุมมองเชิงบวกในหุ้นไทย ซึ่งมาจาก 3 ปัจจัยด้วยกัน คือ
1. เราซึมซับความขัดแย้งระหว่ารัสเซีย - ยูเครน ไปเยอะมากแล้ว
ฝ่ายวิจัยเอเชียพลัส วิเคราะห์ว่านักลงทุนกังวลเรื่องความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียไประดับหนึ่งแล้ว และเชื่อว่าความรุนแรงต่อจากนี้ เช่น ขยายไปยังประเทศอื่น หรือความรุนแรงที่สุด คือ สงครามนิวเคลียร์ ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น
... ดังนั้น ปัจจัยเรื่องสงครามที่จะรุนแรงไปกว่านี้ ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก
2. เงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
ที่ผ่านมาธนาคารกลางหลายแห่งมีการขึ้นดอกเบี้ยและใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวไปมาก
ประกอบกับ "ราคาน้ำมัน" ซึ่งเป็นต้นทุนพลังงานหลัก เป็นขาลงช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา และถ้าไม่ได้มีปัจจัยอะไรใหม่ๆที่ทำให้ต้นทุนพลังงานพุ่งสูงขึ้น เชื่อว่าเงินเฟ้อน่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
ต่อจากนี้ เราอาจจะได้เห็นการลดความร้อนแรงของนโยบายทางการเงิน เช่น การขึ้นดอกเบี้ยแรงๆที่จะส่งผลเชิงลบต่อตลาดหุ้นได้ในระยะถัดไป
3. หุ้นไทยมี Valuation ที่ไม่แพง
ฝ่ายวิจัยเอเชียพลัส มีมุมมองว่าหุ้นไทย "ไม่แพง" ประกอบกับมีแรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยที่น้อย
ปัจจุบันหุ้นไทยมี P/E ที่ 17.64 เท่า ซึ่งค่าเฉลี่ยของ P/E หุ้นไทยอยู่ราว 15.8 เท่า
ไม่ได้ห่างจากค่าเฉลี่ยมาก
อีกทั้ง ถ้าเราตัด 5 หุ้นใหญ่ที่มี P/E สูงไป คือ AOT, DELTA, GULF, EA และ CRC จะทำให้ค่า P/E หุ้นไทยเหลือเพียง 15 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
โดยภาพรวมแล้ว ฝ่ายวิจัยมองว่าหุ้นไทยมีสัญญาณที่ดีขึ้น และไม่น่าจะมีปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นไทยเหมือนในช่วงที่ผ่านมา
อีกทั้งหุ้นไทยไม่ได้แพง มี Valuation ที่น่าสนใจ
ดังนั้น นักลงทุน ควรจะมองบวกในหุ้นไทย ครับ
--------------------------------------------
Reference