จากสิ่งที่เราเข้าใจ "การซื้อหุ้นคืน" คือสิ่งที่ดีที่สุดที่บริษัทจะตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
เราจึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นบริษัทจดทะเบียนหลายๆบริษัท ประกาศเรื่องของการเข้าซื้อหุ้นคืน ไม่ใช่แค่บริษัทในไทยเท่านั้น แต่รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีหลายๆแห่งทั่วโลก เช่น Apple, Amazon, Alibaba, Tencent
เพราะผู้บริษัทเห็นว่าหุ้นของพวกเขา "ราคาถูกเกินไป" ...
ในอีกด้านหนึ่ง การตะลุยซื้อหุ้นคืน อาจจะกำลังทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นในระยะยาว
เมื่อไม่นานมานี้สภาผู้แทนสหรัฐอเมริกาได้ออกกฏหมายที่ชื่อว่า Inflation Reduction Act. โดยจะจัดเก็บภาษี 1% จากการซื้อหุ้นคืนเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว เนื่องจากพวกเขามองว่าการซื้อหุ้นคืน จะเป็นการสนับสนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนมีความมั่งคั่งสูงขึ้นตามไปด้วย และมันจะกลายเป็นสาเหตุของปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง
พูดง่ายๆคือ นักลงทุนเล่นหุ้นแล้วได้กำไร จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น
ช่วงที่ผ่านมา การซื้อหุ้นคืนกระจุกอยู่ในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ นำโดย Apple ที่ซื้อหุ้นคืนตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
จากเมื่อปี 2012 ราคาหุ้นอยู่ที่ 21 เหรียญ
แต่พอมาในปี 2022 ราคาหุ้นอยู่ที่ 170 เหรียญ
หรือคิดเป็นผลตอบแทนสูงถึง 800% ....
ซึ่งต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่ง คือ เรื่องของการซื้อหุ้นคืน กลายมาเป็นตัว "บิดเบือน" ราคาหุ้น
เมื่อปริมาณการซื้อหุ้นคืนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวสูงขึ้น สิ่งที่เป็นข้อสังเกต คือ มูลค่าตลาด (Market Cap.) จะปรับตัวสูงขึ้นตามในภาพรวม
พอในปี 2021 การซื้อหุ้นคืนและตลาดหุ้นได้ทะยานแตะระดับสูงสุด นักลงทุนสามารถสร้างกำไรผ่านราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้น
เมื่อนักลงทุนเทขายหุ้นแล้วได้กำไร ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่ง (Wealth Inequality)
และความต้องการซื้อที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่เร่งให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ด้วยนั่นเอง
สภาผู้แทนสหรัฐ ได้ออกกฏหมาย Inflation Reduction Act. ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 2023 ...
นอกจากจะเป็นการจัดเก็บภาษี 1% ของมูลค่าที่ซื้อ เพื่อกระจายรายได้ไปช่วยเหลือกลุ่มคนที่ขาดโอกาสแล้ว
ยังช่วยลดเงินเฟ้อได้อีกด้วย
เพราะพวกเขามองว่า ถ้านักลงทุนได้กำไร เงินเฟ้อก็จะสูงขึ้น ตามไปด้วยนั้นเอง ....