เศรษฐกิจไทยเรามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ไม่เพียงจากบริษัทชั้นนำอย่างเช่นเครือปตท. ปูนซีเมนต์ไทย ซีพี ฯลฯ ยังเกิดจากธุรกิจ SME ที่แข็งแกร่งช่วยกันพลักดันเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไปกับเศรษฐกิจโลก ธุรกิจ SME หลายบริษัทที่มีความสามารถแข่งขันได้ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกมีอยู่มากมาย หลายๆบริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ในขณะที่บางบริษัทยังต้องการแหล่งเงินทุนไว้ใช้หมุนเวียนและขยายกิจการ ซึ่งรัฐบาลก็มีหน่วยงานที่ช่วยสนับสนุน SME เหล่านี้ เช่น SME BANK ให้บริการสินเชื่อแก่ SME บริษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้บริการค้ำประกันแก่ SME ในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินแต่ติดขัดเรื่องหลักประกัน
นอกจากนั้นยังมีพวก Venture Capital Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่จะเข้าสนับสนุนธุรกิจ SME ที่ต้องการเงินหมุนเวียนหรือขยับขยายกิจการในลักษณะเข้าไปร่วมทุนถือหุ้นใน SME เหล่านี้ ซึ่ง Venture Capital ส่วนใหญ่เป็นเอกชน ถ้านับเฉพาะที่เป็นสมาชิกสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Thai Venture Capital Association) มีอยู่สิบกว่าบริษัท ซึ่งแต่ละบริษัทก็จะมีนโยบายแตกต่างกัน บางบริษัทก็เน้นที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจ SME ที่แข็งแกร่งที่มีโอกาสเติบโตและเข้าจดทะเบียนในตลาด MAI ได้ภายใน 3 ปี แล้ว Venture Capital Fund เหล่านี้ก็จะ Exit ออกจาก SME เหล่านี้ภายหลังที่ธุรกิจเหล่านี้เข้าจดทะเบียนในตลาด พร้อมกับกำไรซึ่งได้ผลตอบแทนค่อนข้างสูงแต่ความเสี่ยงก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน โดยบางครั้งอาจจะต้องใส่เม็ดเงินเข้าไปหลายครั้งและอาจจะต้องส่งบุคลากรไปช่วยบริหารจัดการเรื่องการเงินให้ด้วย เพราะว่าหลายๆ SME ที่มีเพียงความเขี่ยวชาญในการผลิตแต่อ่อนประสบการณ์ในด้านการเงินหรือการตลาดด้วย ทำให้ความสามารถในการเจาะตลาดเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร หรือการนำสินค้าไปวางจำหน่ายใน Convenience Store ทั้งหลาย เป็นต้น
นอกจากหน่วยงานเหล่านี้แล้วยังมีสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ที่คอยสนับสนุน SME ไทยให้แข็งแกร่ง สามารถแข่งขันในตลาดทั้งในประเทศและนอกประเทศได้ ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์และ กลต. ก็มีนโยบายส่งเสริมให้ธุรกิจ SME ต่างๆ สามารถเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือ MAI ได้สะดวกขึ้น โดยมีโครงการช้างเผือก เพื่อไปชักชวนให้ SME ที่มีความแข็งแกร่งในต่างจังหวัด เข้ามาจดทะเบียนให้ได้อย่างน้อย 1 จังหวัด 1 บริษัท ซึ่งเป็นนโยที่ดีน่าสนับสนุน แต่ผมยังไม่ค่อยเห็น SME ดังกล่าวเข้ามาจดทะเบียนในตลาดเท่าที่ควร เห็นทีตลาดหลักทรัพย์และกลต. คงจะต้องออกแรงมากกว่านี้อีกสักหน่อย ถึงแม้ว่าปีนี้จะมีบริษัทต่างๆ เข้ามาจดทะเบียนในทั้ง 2 ตลาดคึกคักพอสมควรก็ตาม น่าจะมีการจัดเวทีในทุกจังหวัด ให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง 1 ปีก็จะไปเยี่ยมได้ถึง 52 จังหวัดแค่ปีครึ่งก็สามารถไปได้ครบทุกจังหวัดโดยร่วมกับทางหอการค้าในจังหวัดนั้นๆ รวมทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการชักชวนให้ SME เหล่านี้มาเข้าร่วมฟังในเวทีสัมมนา เรื่อง ผลประโยชน์จากการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด
ซึ่งผมเชื่อว่าถ้า SME เหล่านี้ได้ทราบถึงผลประโยชน์ดังกล่าวคงมีความต้องการที่จะผลักดันธุรกิจของตนให้เข้าตลาดให้ได้ ซึ่งผมขอประมวลผลประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนได้ดังนี้
1. ได้แหล่งเงินลงทุนระยะยาว โดยเมื่อบริษัทจะเข้าตลาดต้องทำ IPO เสนอขายหุ้นให้กับประชาชน ทางบริษัทก็จะได้รับเงินดังกล่าวไว้หมุนเวียน และขยายกิจการ
2. ภาพลักษณ์ จะทำให้บริษัทมีภาพลักษณ์ที่ดี เป็นที่น่าเชื่อถือมากขึ้นได้เสนอข่าวและประชาสัมพันธ์ธุรกิจฟรี เพราะว่าสื่อต่างๆ จะสนใจมาสัมภาษณ์ผู้บริหารเกี่ยวกับกิจการ และการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินก็จะง่ายขึ้น และได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าบริษัทที่อยู่นอกตลาด
3. เป็นที่สนใจของนักลงทุนและธุรกิจต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศจะเห็นได้ว่ามีหลายบริษัทที่หลังจากเข้าไปจดทะเบียนแล้ว มีบริษัทต่างชาติขอร่วมทุนเข้าหุ้น หรือไปตั้งบริษัทลูกหรือบริษัทร่วมกับบริษัทต่างชาติ
4. สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินปันผล โดยบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับเงินปันผลจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ โดยต้องเป็นเงินปันผลจากบริษัทหรือกองทุนที่ถือไว้ไม่น้อยกว่า 3 เดือน
5. สามารถตีมูลค่ากิจการเป็นจำนวนเงินที่ชัดเจน จากราคาตลาดเมื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดแล้ว และเจ้าของกิจการยังสามารถนำหุ้นมาขายเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับตัวเอง แต่ต้องศึกษาเรื่อง Silent Period (ช่วงระยะเวลาห้ามขาย) ด้วยนะครับ
6. สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้ถือหุ้นที่จดทะเบียน คือ เวลาขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี Capital Gain Tax
เห็นประโยชน์มากมายอย่างนี้แล้ว ท่านเจ้าของธุรกิจที่สนใจจะนำกิจการของคนเข้าจดทะเบียนในตลาด สามารถศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th นะครับ