เมื่อโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) เริ่มเห็นสัญญาณขาขึ้นของราคาน้ำมัน
จำกันได้ไหมครับเมื่อปีก่อนหน้านี้ โกลด์แมน แซคส์ ออกมาทำนายว่าตลาดจะปรับหาสมดุล อุปสงค์-อุปทาน ของน้ำมันดิบได้ แต่ราคาต้องตกลงไปถึง $20 ต่อบาร์เรลก่อน
เมื่อปีที่แล้วราคาน้ำมันยังอยู่ระดับ $40- $50 คำพูดของ โกลด์แมน แซคส์ ดูจะเป็นสิ่งที่เชื่อได้ยากมาก แต่เมื่อราคากลับลดต่ำลงอีกแตะหลัก 20 ดอลล่าร์ปลายๆแล้ว สื่อทั้งหลายจึงได้นำความเห็นของ โกลด์แมน แซคส์ ถึงราคา $20 นำมาพูดกันอีกครั้งหนึ่ง
แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ ครั้งนี้ดูจะมีข้อความเพิ่มเติมนะครับ.... เพราะในครั้งที่แล้วสื่อของ โกลด์แมน แซคส์ เองไม่ได้พูดถึงการทำนายการเกิดขึ้นของสัญญาณขาขึ้น (Bull Market) รอบใหม่ของราคาน้ำมัน
ภายใต้สภาวะน้ำมันต่ำกว่า $30 ตอนนี้ โกลด์แมน แซคส์ กล้าออกมาพูดว่า มองเห็นราคาน้ำมันจะวิ่งได้รอบใหม่ เพราะการปรับสมดุลของตลาด เมื่อราคาน้ำมันต่ำขนาดนี้จะบังคับให้ผู้ผลิต shale oil หยุดผลิตไป เพราะนอกจากจะขาดทุนที่ราคานี้แล้ว การจะหาเงินมาสำรวจและผลิตโปรเจคใหม่ที่มีแนวโน้มจะขาดทุนคงเป็นเรื่องยาก ไม่ว่าจะเป็นเงินจากตลาดทุน หรือตลาดตราสารหนี้
ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าน้ำมันจะเป็นขาขึ้น?
โกลด์แมน แซคส์ มองเห็นคือปลายปี 2016 หลังจากที่กำลังการผลิตจากอเมริกาจะลดลงประมาณ 600,000 บาร์เรลแทบเท่าน้ำมันต่อวัน ซึ่งจะทำให้ปริมาณนำ้มันที่โลกผลิตได้ต่อวัน พลิกกลับมาน้อยกว่าความต้องการต่อวัน
...ในระยะสั้นแบบนี้ คงทำนายได้ยากจริงๆว่าปัจจัยนี้ปัจจัยเดียวจะมีผลขนาดนั้นหรือไม่ เพราะมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนเกิดขึ้นอีกมากมายครับ ยกตัวอย่างเช่น
1. ความเคลื่อนไหวของกลุ่ม OPEC ต่อการประกาศลด/ไม่ลดกำลังการผลิต
2. การกลับมาในตลาดอย่างเต็มตัวอีกครั้งของอิหร่าน ในเร็วๆนี้ว่าจะมีผลต่อซัพพลายโลกมากเพียงไหน
3. มุมมองของตลาดต่อทิศทางเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐกิจหลักๆอย่าง อเมริกา จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ยุโรป (ตอนนี้ ความต้องการนำเข้าน้ำมันของจีนเพิ่มมากเป็นประวัติการณ์ และจีนกำลังกลายเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันมากที่สุดในโลกแทนอเมริกาแล้วครับ)
มาลองมองมองปัจจัยที่กระทบพื้นฐานอุตสาหกรรม oil & gas ให้ยาวไปอีกหน่อยกันบ้างนะครับ...
1. Decline rate หรืออัตราการลดลงของการผลิตน้ำมันจากหลุมได้ต่อปี สำหรับหลุมน้ำมันทั่วโลกแล้ว Decline rate เฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับ 4-5% ต่อปี จากประมาณการของ EIA (ต้องยอมรับว่าตัวเลขนี้ประมาณการณ์ได้แม่นยำจำกัดนะครับ เพราะหลายหลุมที่เป็นหลุมขนาดยักษ์ของโลกซึ่งค้นพบช่วงปี 1950-1970 ในตอนนี้เลยจุดผลิตต่อวันที่ระดับ peak ไปแล้ว ซึ่งกำลังการผลิตสามารถ decline ได้ถึงปีละ 10% แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีมาช่วยดึงน้ำมันที่เหลือออกมาอีกเพื่อชะลอเวลาปิดหลุมออกไป)
2. เงินลงทุนที่บริษัทน้ำมันใช้ในการสำรวจและผลิตน้ำมันรอบโลก ปีนี้จะลดลงไปกว่า 2 แสนล้านดอลล่าร์ หรือกว่า 7 ล้านล้านบาท ซึ่งถ้าหากปีหน้า หรือปีถัดไปเงินลงทุนนี้ลดลงไปอีก ก็จะเจอผลของ Decline rate ทำให้หาหลุมใหม่ไม่ทันหลุมเดิมที่ค่อยๆหมดลงครับ
3. ประชากรโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อไป United Nations (UN) ประมาณการไว้ในปี 2012 แล้วว่าจะขึ้นจาก 7.2 พันล้านคนในปัจจุบันไป 9.6 พันล้านได้ในปี 2050 และกลุ่ม "Middle Class" ที่มีเงินพร้อมจะท่องเที่ยวโดยยานพาหนะซึ่งกินน้ำมันเป็นหลักยังคงมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...ดูๆแล้วประมาณการของ UN น่ายังไม่ได้ใส่ผลของนโยบาย "ลูกคนที่สอง" ของจีนเข้าไปนะครับ
4. ความเป็นเมือง (Urbanization) มีความรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของประชากร แรงงาน สินค้า และพลังงานเพิ่มมากขึ้นได้อีก
5. การเติบโตของรถไฟฟ้า - ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จไฟในที่สาธารณะ แรงจูงใจของภาคเอกชนที่จะมาร่วมพัฒนาจุดชาร์จสาธารณะพร้อมกับรัฐ และความเชื่อต่อศักยภาพของรถไฟฟ้า โดยเฉพาะระยะทางที่วิ่งได้สั้นกว่ารถธรรมดามาก ราคาที่ยังสูงสำหรับรถไฟฟ้า ที่วิ่งได้ระยะไกล เพราะราคาแบตเตอรี่ที่ยังสูง ยังคงต้องใช้เวลาในการแก้ไขกันอีกหลายปีครับ
6. แนวโน้มการลดลงของต้นทุนการผลิตพลังงานจาก Renewable energy กับการสนับสนุนการลงทุนและสนับสนุนค่าไฟฟ้าจากรัฐบาลทั่วโลก ปัจจัยไหนจะทนอยู่นานกว่ากัน และจะยั่งยืนหรือไม่ หากสภาพคล่องการสนับสนุนทางการเงินหายไปจากการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
ก็ถือว่าเป็นอีกครั้งที่ โกลด์แมน แซคส์ ออกมาให้ข่าว...และคงเฝ้าดูปฎิกริยาของตลาดจากนี้กันต่อไปครับ
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก Bloomberg http://www.bloomberg.com/…/goldman-sachs-sees-oil-bull-mark…
บทความโดย บูม / FB: MoneyCrown