เชื่อว่านักลงทุนน่าจะพอทราบมาแล้วว่า เมื่อคืน FED ได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เป็นไปตามที่ตลาดคาด
แต่ทำไมตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงลงต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยง และตลาดหุ้นทางฝั่งเอเชียให้ปรับลดลงตาม
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
เป็นเพราะว่านักลงทุนไม่ได้กังวลแต่ประเด็นของ FED อย่างเดียว แต่ยังมีประเด็นอื่นให้นักลงทุนกังวลกันอีกด้วย
ประกอบไปด้วย 3 สาเหตุสำคัญ คือ
1. ประเด็นของ FED ขึ้นดอกเบี้ย 0.75%
ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยวิ่งสู่ระดับ 3.00-3.25% ตามที่ตลาดได้คาดเอาไว้ และการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งตลาดคาดเดาไปอีกว่าสิ้นปี 2566 อัตราดอกเบี้ยน่าจะวิ่งไปแตะระดับ 4.6%
2. ความขัดแย้งรัสเซีย - ยูเครน ดูเหมือนจะเริ่มรุนแรงมากขึ้น
เมื่อวานประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ประกาศระดมกำลังพลในรัสเซียมากถึง 3 แสนคน ประกาศว่าพร้อมจะใช้ทุกวิธีทางในการปกป้องรัสเซีย และจะผนวกทุกดินแดนที่ทหารรัสเซียเข้ายึดครองสำเร็จ
นั้นหมายความว่า คำประกาศของปูติน เป็นการยกระดับสงครามกับยูเครน สร้างความกังวลให้กับตลาดการเงินทั่วโลก
ทางกลุ่มยุโรปยังคง Sanction รัสเซียต่อไป ส่งผลให้ต้นทุนด้านพลังงาน และการผลิตสินค้ายังคงอยู่ในระดับสูง
เมื่อต้นทุนสูง เงินเฟ้อก็ยากที่จะปรับลดลง และสิ่งเดียวที่จะควบคุมได้ คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปเรื่อยๆจนกว่าจะเห็นอัตราเงินเฟ้อลดลง
... ทั้งนี้ ความขัดแย้งได้เข้าสู่เดือนที่ 7 และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ
3. ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ลดการเติบโตเศรษฐกิจในเอเชียในปีนี้ ไปจนถึงปีหน้า
เมื่อไม่นานมานี้ ADB ได้ปรับลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียทั้งปี 2565 และปี 2566 เนื่องจากความเสี่ยงเรื่องการคุมเข้มทางการเงิน สงครามรัสเซีย การล็อคดาวน์ของจีน
... ทาง ADB คาดว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ย จะลดลงเหลือเพียง 4.3% จากที่เคยคาดเอาไว้น่าจะโตราวๆ 4.6% ในปี 2565
โดยสรุปแล้ว นักลงทุนยังคงกังวล FED กันต่อไป รวมถึงความเสี่ยงด้านความขัดแย้งจะทำให้ต้นทุนพลังงานสูงขึ้น
เมื่อต้นทุนพลังงานสูง เงินเฟ้อก็ไม่ลดลง และสิ่งที่ตามมา คือ การขึ้นดอกเบี้ย ..
หรือไม่ก็ การตรึงดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูงต่อไป
แน่นอนว่า การขึ้นดอกเบี้ย ย่อมไม่เป็นผลดีกับตลาดหุ้น ครับ
---------------------------------------
Reference