ในช่วงที่เงินเฟ้อพุ่งสูง สภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน ความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย และอเมริกา - จีน - ไต้หวัน ล้วนเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจระดับโลกให้แย่ลงอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่น่าสนใจ คือ แล้วกองทุนระดับโลกเขาจัดพอร์ตลงทุน ในสภาวะแบบนี้กันอย่างไรบ้าง? เราลองมาดูมุมมองของ 2 กองทุนระดับโลกอย่าง BlackRock และ Schroders กันครับ
BlackRock เลือก พลังงานสะอาด, รถไฟฟ้า, สินค้า/บริการจำเป็นที่ปรับราคาขึ้นได้
BlackRock มองว่านักลงทุนควรกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หุ้น และสินทรัพย์ทางเลือก เพราะไม่มีสินทรัพย์ไหนที่ Outperform ตลาดได้ตลอดเวลา จึงควรที่จะกระจายการลงทุน และต้องถือระยะยาวนานเพียงพอ
ธีมการลงทุนจะเน้นไปที่ 3 อุตสาหกรรม คือ
1. กลุ่ม ESG
พลังงานสะอาด เช่น รถยนต์ EV, Circular Economy การใช้ทรัพยากรธรรมชาติเท่าที่จำเป็น หรือการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่
2. กลุ่ม Digital Transformation
การเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่เทคโนโลยียุคใหม่ ประเทศต่างๆ แข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อขึ้นมาเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก เช่น การพัฒนาระบบขนส่งในอนาคตที่เชื่อมโยงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เข้าด้วยกัน
3. กลุ่ม Strong Pricing Power
การลงทุนในบริษัทที่ขายสินค้าที่จำเป็น บริษัทที่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปให้ผู้บริโภคได้โดยที่ไม่กระทบกับยอดขาย เช่น อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ มีการปรับตัวลดลงน้อยกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ช่วยลดความผันผวนในพอร์ตลงทุนได้ และยังมีนโยบายต่างๆ ออกมาสนับสนุน
ทางด้าน Schroders ให้ความสำคัญ กับทองคำ และนวัตกรรมพลังงานสะอาด
Schroders มองว่านักลงทุนควรจัดพอร์ตไปที่การตั้งรับ โดยลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นและ ตราสารหนี้ภาครัฐ และเพิ่มน้ำหนักให้กับตราสารหนี้เอกชนประเภท Investment Grade ตราสารหนี้ของตลาดเกิดใหม่ในสกุลดอลล่าร์ และ "ทองคำ"
นอกจากนี้ สินทรัพย์ประเภทนอกตลาด (Private Asset) ก็น่าสนใจเพราะสภาพคล่องไม่สูง ลดความผันผวนของพอร์ตได้
ธีมการลงทุนจะเน้นไปที่ 5 แบบ เน้นไปที่พลังงานสะอาด และความยั่งยืน (Sustainability)
1. กลุ่ม Clean Energy
หรือพลังงานสะอาด จะได้รับความสนใจเนื่องจากทุกคน รวมถึงภาครัฐให้ความใส่ใจเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามา และส่งผลในเชิงบวกระยะยาวมากขึ้น
2. กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานแบบมีประสิทธิภาพ
วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างที่ช่วยลดการใช้พลังงาน หรือหลอดประหยัดพลังงาน แผงพลังงานไฟฟ้า
3. กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม
การจัดการทรัพยากรน้ำ การกำจัดของเสีย ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Waste Management ของรีไซเคิลต่างๆ น่าจะได้รับผลประโยชน์ในระยะยาวได้มากขึ้น
4. กลุ่ม Low Carbon Leaders เป็นกลุ่มที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ
5. กลุ่ม Sustainable Transport ระบบการขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด
รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถไฟไฟฟ้า กลุ่มนี้จะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่จะเน้นลงทุนในองค์ประกอบที่ใช้เป็นวัตถุในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เช่น แผงวงจรสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า

ถือเป็นมุมมองของกองทุนระดับโลก ที่เราสามารถนำมาปรับใช้กับการลงทุนของเราได้ครับ ...
--------------------------------------------
Reference
THE STANDARD WEALTH
https://thestandard.co/scb-wealth-second-half-economic/