สินทรัพย์ที่ทั่วโลกกำลังจับตามากที่สุด น่าจะเป็น "น้ำมัน" สาเหตุเป็นเพราะว่า
ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน เมื่อพลังงานสูง เงินเฟ้อก็จะสูงตาม
เมื่อเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางทั่วโลกพยายามที่จะควบคุมเงินเฟ้อโดยการเพิ่มดอกเบี้ย
เมื่อการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย จะส่งผลกระทบต่อการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ...
ทำให้นักลงทุน ไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้สักเท่าไร
เมื่อไม่นานมานี้ Goldman Sachs มองว่าราคาน้ำมันดิบน่าจะพุ่งไปที่ 125 เหรียญต่อบาร์เรล (ราคาปัจจุบันอยู่ที่ราวๆ 90 เหรียญ)
สอดคล้องกับความเห็นของ 2 บริษัทวาณิชยกิจยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Morgan Stanley และ UBS
Morgan Stanley มองว่า ราคาน้ำมันดิบ Brent ควรอยู่ที่ระดับ 95-98 เหรียญต่อบาร์เรล ในช่วงที่เหลือของปี
สาเหตุเป็นเพราะว่าอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูง การขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้การบริโภคชะลอตัวลง เป็นสาเหตุให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง
ในขณะที่ปี 2566 ราคาน้ำมันดิบจะแตะระดับ 100 เหรียญต่อบาร์เรล เป็นเพราะว่า ความต้องการใช้เพิ่มขึ้น และการส่งออกน้ำมันของรัสเซียมีแนวโน้มลดลงอย่างมาก
สอดคล้องกับความเห็นของ UBS ที่มองว่า ราคาน้ำมันดิบควรอยู่ระดับ 110 เหรียญต่อบาร์เรล
และปี 2566 ราคาน้ำมันดิบจะพุ่งสูงถึง 125 เหรียญต่อบาร์เรล จากสาเหตุหลักคือ ความต้องการใช้น้ำมันในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น

Source : บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์
ดังนั้น ถ้าถามว่าราคาน้ำมันดิบที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าไรกันแน่ ?
คำตอบ คือ จากเหตุการณ์ที่พอจะวิเคราะห์ได้ คาดว่าราคาน้ำมันดิบน่าจะเฉลี่ยอยู่แถวๆ 100 เหรียญต่อบาร์เรล
และปีหน้าอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก จากความต้องการใช้ที่มากขึ้น
แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระวัง คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเงินเฟ้อและราคาพลังงาน
กล่าวคือ ราคาพลังงานยิ่งสูง ต้นทุนของธุรกิจจะสูงตาม ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
เมื่อสินค้าราคาสูง เงินเฟ้อพุ่ง ธนาคารกลางทั่วโลกก็จะพุ่งเป้าไปที่การปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อการขึ้นดอกเบี้ยชัดเจน สินทรัพย์เสี่ยงก็จะถูกเทขาย
ช่วงที่เหลือของปี ไปจนถึงปีหน้า อาจจะไม่ใช่โอกาสที่ดีเท่าไรนักในการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง ....
--------------------------------------------
Reference