#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

ปัจจัยลบกระทบโลจิติกส์ แย่จริงหรือคิดไปเอง?

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
1,158 views

ช่วงที่ผ่านมาทั่วโลกต่างเผชิญกับวิกฤติที่ถือเป็นความท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิดการล็อคดาวน์หลายพื้นที่ ส่งผลให้การขนส่งสินค้าเกิดความล่าช้าและปัญหาค่าระวางขนส่งตามมา สงครามและปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่กระทบต่อราคาต้นทุนพลังงาน ซ้ำร้ายด้วยเงินเฟ้อส่งผลต่อเนื่องเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ ซึ่งทำให้หลายคนคิดว่าปัญหาเหล่านี้อาจกระทบกับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งภายในและข้ามประเทศ

แต่เมื่อมาถึงถึงเทศกาลประกาศงบครึ่งปีแรก 2565 พบว่ากลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์กลับมีผลประกอบการที่ดี สามารถปรับกลยุทธ์การขนส่งเพื่อรองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ที่มีมูลค่าการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน) อยู่ที่ 149,184.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือมีการขยายตัว 12.8%

รวมถึงคาดการณ์แทบจะเป็นเสียงเดียวกัน ว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตขึ้นอีกเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก จากการเข้าสู่ไฮซีซั่นธุรกิจ ปริมาณขนส่งจะเพิ่มมากขึ้นในการขนส่งต่างๆ อีกทั้งมีแผนเตรียมพร้อมรับมือ รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรและการควบรวมกิจการเพื่อต่อยอดธุรกิจเพิ่มเติมอีกด้วย 
 



WICE มุ่งปรับกลยุทธ์ เตรียมผนึกพันธมิตร คาดนิวไฮ 3 ปีซ้อน

บมจ.ไวส์ โลจิสติกส์ หรือ WICE ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร ล่าสุดได้มีการประกาศงบการเงิน โดยครึ่งปีแรก 2565 มีรายได้รวม 4,229 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% และ มีกำไรสุทธิ 328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70 % 

ทั้งนี้ สาเหตุจากปริมาณขนส่งทางทะเลที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งการรักษาความสามารถการทำกำไรให้อยู่ในเกณฑ์ดีแม้สถานการณ์ต้นทุนด้านค่าระวางเรือปรับตัวลดลง ประกอบกับสถานการณ์ประเทศจีนเริ่มผ่อนคลายล็อกดาวน์ สามารถขนส่งสินค้าผ่านด่านชายแดนได้เป็นปกติ 

นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เผยว่า แม้ช่วงที่ผ่านมาสหรัฐฯจะมีปัญหาการถดถอยทางเศรษฐกิจ แต่ดีมานด์การขนส่งกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และบริษัทได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยในการขนส่งที่ประเทศจีน เนื่องจากบริษัทได้ประเมินสถานการณ์และเตรียมแผนดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง (BCP) ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติขนส่ง อาทิ เส้นทางขนส่งเพิ่มเติมในกรณีการปิดด่านชายแดนหรือล็อคดาวน์ในเขตพื้นที่ต่างๆของจีน, เพิ่มบริการขนส่งทางรถไฟความเร็วสูงลาว-จีน (Road-Rail Service) อีกทั้งบริษัทมีการร่วมมือกับบริษัทในเครือเพื่อเจรจาต่อรองค่าระวางเรือในราคาที่ถูกลง และการบริหารต้นทุนขนส่งล่วงหน้าก่อนทำสัญญา โดยการกำหนดราคาต้นทุนน้ำมันให้อยู่ในค่าบริการขนส่ง ซึ่งเป็นไปตามที่ตกลงกันในสัญญาบริการสำหรับกลุ่มลูกค้าของบริษัท 

สำหรับสถานการณ์ค่าระวางเรือที่มีการปรับตัวลดลงในปัจจุบัน ไม่มีผลกระทบต่อความสามารถทำกำไร เนื่องจากบริษัทมีการบริหารอัตราการทำกำไรให้อยู่ในระดับคงที่ แต่กลับเป็นผลดีในด้านต้นทุนขนส่งที่ลดลง และเป็นโอกาสการเพิ่มปริมาณขนส่งอีกด้วย 

โดยคาดว่าครึ่งปีหลัง 2565 จะเป็นช่วงไฮซีซั่นธุรกิจ ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการทั้งทางทะเลและทางอากาศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งสถานการณ์ล็อคดาวน์ในจีนเริ่มคลี่คลาย สามารถเปิดด่านชายแดนและทำการขนส่งได้เป็นปกติ จะเป็นปัจจัยหนุนที่ช่วยยอดการขนส่งข้ามพรมแดนกลับมามีปริมาณเพิ่มขึ้น 40-50% ในช่วงสิ้นปี 2565  

นอกจากนี้บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากการขยายพื้นที่การให้บริการคลังสินค้าแบบออนไซต์ (Onsite Warehouse Management) ขนาด 15,000 ตร.ม. และมีความร่วมมือกับพันธมิตรผู้จัดจำหน่ายและบริหารช่องทางการขาย E-commerce แบบครบวงจรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 3/2565

จากแผนการดำเนินงานทั้งหมด คาดว่าจะทำให้ผลประกอบการปีนี้จะมีสถิติสูงสุด (New High) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยตั้งเป้ารายได้ 9,000 ล้านบาท เติบโต 20% และรักษาอัตรากำไรสุทธิที่ 7%
 


LEO รับอานิสงส์ค่าระวางเรือ ปรับเป้ารายได้ 45-50%

บมจ. ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ หรือ LEO ล่าสุด ประกาศงบฯ ครึ่งปีแรก 65 บริษัทมีรายได้รวม 2,986.6 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิ 189.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 172 % ผลการดำเนินงานมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากสถานการณ์ค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังทำนิวไฮ อีกทั้งปริมาณความต้องการขนส่งทางเรือและทางอากาศยังคงเติบโตต่อเนื่อง 

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยว่า บริษัทได้มีการปรับเพิ่มเป้าปี 65 รายได้เติบโต 45-50% สอดคล้องแนวโน้มธุรกิจที่อยู่ในช่วงขาขึ้น โดยภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงไฮซีซั่น เพราะเป็นช่วงฤดูการส่งออกของลูกค้าในเทศกาลสำคัญปลายปี จะทำให้มีปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกับมีปัจจัยที่สนับสนุนจากธุรกิจ SME เริ่มกลับมาใช้บริการมากขึ้น ทำให้ความสามารถทำกำไรดีขึ้นได้อย่างโดดเด่น
 


JWD ปรับราคาบริการตามต้นทุนน้ำมัน รับปัจจัยไม่กระทบโดยตรง ลุยผนึกพันธมิตร 

บมจ. เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน ที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากการล็อคดาวน์ในจีนเล็กน้อย เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้ที่เกี่ยวข้องกับจีนไม่มาก และรายได้ส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศกลุ่มภูมิภาคอาเซียน และสถานการณ์ด้านต้นทุนน้ำมันมีผลกระทบเล็กน้อย เฉพาะในกลุ่มขนส่ง ซึ่งบริษัทได้มีการปรับราคาค่าบริการตามราคาน้ำมันขนส่งเพื่อรักษาการทำกำไรให้อยู่ในระดับดี 

ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรก 65 บริษัทมีรายได้รวม 2,809.3 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิ 279.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 23.4 ล้านบาท หรือ 9.1 % ตั้งเป้ารายได้สิ้นปีเติบโต 15% และเพิ่มอัตรากำไรสุทธิในระดับ 15%

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า บริษัทยังคงมั่นใจในธุรกิจที่มีความหลากหลาย และการให้บริการลูกค้าครบทุกกลุ่ม มีการพิจารณาโอกาสลงทุนทั้งในรูปแบบของการขยายธุรกิจปัจจุบัน ร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ การเข้าลงทุนและควบรวมกิจการ (M&A) เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าควบรวมกิจการเพิ่มเติม 

สำหรับในครึ่งปีหลัง 2565 ยังคงเดินหน้าลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่อเนื่อง ตามแผนที่ตั้งไว้ในระยะ 5 ปี (ปี 64-68) โดยในปี 2565 จะใช้งบลงทุน 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นครึ่งปีแรก 600-700 ล้านบาท ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าจะใช้งบลงทุนลดลง เนื่องจากการลงทุนใหม่จะเน้นร่วมมือกับพันธมิตรเป็นหลัก
 


III ชูกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงธุรกิจ พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์ 

บมจ. ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ หรือ III ผู้นำโลจิสติกส์ครบวงจรของไทย 

บริษัทได้มีมาตรการรับมือต่อสถานการณ์แพร่ระบาดที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ อาทิ มาตรการล็อคดาวน์ของจีนที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง ด้วยกลยุทธ์การรักษาศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจทั้ง 4 กลุ่มหลัก ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงลดการพึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง รวมถึงแผนการขยายธุรกิจและเพิ่มแหล่งรายได้ใหม่เพื่อต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์ให้ครอบคลุมความต้องการในทุกมิติ ซึ่งเป็นแผนการเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด “Logistics and Beyond”

นายทิพย์ ดาลาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/65 สูงที่สุดทั้งที่เป็นไตรมาสที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าต่ำสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสอื่นของปี สำหรับครึ่งปีหลัง 2565 ซึ่งเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นขนส่ง จะมีปริมาณการขนส่งมากขึ้นทั้งธุรกิจขนส่งทางอากาศ ขนส่งทางเรือ ธุรกิจโลจิสติกส์สำหรับสินค้าอันตราย และเคมีภัณฑ์ (Chemical) 

ทั้งนี้ ประเมินว่าสถานการณ์ต่างๆ จะมีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกกับธุรกิจ ในส่วนของสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างประเทศจีนและไต้หวัน คาดว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากนัก อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หากกลับมาอีกก็จะเป็นผลกระทบได้เพิ่มเติมอีกครั้ง 

ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรก 65 บริษัทมีรายได้รวม 1,466.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.1% และมีกำไรสุทธิ 231.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.1 %

แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจดูจะทวีความร้อนแรง แต่กลุ่มโลจิสติกส์กลับมีผลประกอบการที่ยืนยันถึงการเติบโต อีกทั้งผู้ประกอบการทุกรายมีมุมมองเชิงบวกกับธุรกิจช่วงครึ่งปีหลัง แล้วปัจจัยลบมากมายที่คาดว่าจะกระทบอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ซึ่งหลายคนคาดการณ์กันนั้น มันแย่จริงๆ หรือว่าจะเป็นเรา ที่คิดไปเองกันแน่ ?


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง