เมื่อคืนที่ผ่านมา มีประเด็นที่น่าสนใจของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% มาอยู่ที่ 1.25% 
ซึ่งการขึ้นครั้งนี้นับเป็นการขึ้นครั้งที่สองติดต่อกันแล้ว
โดยใจความสำคัญของการประชุมครั้งนี้ คือ ...
1. ทาง ECB ตั้งเป้าหมายเงินเฟ้ออยู่ที่ 2% และต้องมีเสถียรภาพ
2. การประชุมครั้งหน้าจะยังขึ้นดอกเบี้ยต่อไป จนทำให้แน่ใจได้ว่า ECB จะควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในมือได้

แน่นอนว่าทำให้นักลงทุนรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก และมีความแน่ใจมากขึ้นว่าเศรษฐกิจของยุโรปจะเข้าสู่สภาวะ Recession อย่างหลีกเลียงไม่ได้ เพราะการขึ้นดอกเบี้ยจะกระทบกับการดำเนินธุรกิจ และการใช้จ่ายของผู้บริโภคอาจจะหดตัว

สอดคล้องกับท่าทีของ FED และการแถลงการณ์ของ Jerome Powell ในเวที Jackson Hole เมื่อหลายวันที่ผ่านมาว่า FED จะต้องสยบเงินเฟ้อให้ได้โดยผ่านการขึ้นดอกเบี้ย และจะไม่สนใจว่าเศรษฐกิจจะพังมากแค่ไหน
หลังการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB ทำให้นักวิเคราะห์ต่างจับตาของ Jerome Powell ในเวที Cato Institute Powell ว่าอาจจะมีเซอร์ไพรส์ "เชิงบวก" 
... ปรากฏว่าไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะ FED ยังคงแนวทางเดิม คือ เร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อไป เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้ได้ ...
แน่นอนว่าประเด็นดังกล่าวกดดันตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ให้ร่วงลงราวๆ 1% 
ก่อนที่จะมีแรงซื้อในช่วงท้ายตลาด ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้น S&P500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้นได้ราวๆ 0.5%

ดังนั้น ประเด็นเรื่องของการขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุก อาจจะยังกดดันสินทรัพย์เสี่ยงต่อไป ...

คำถาม คือ แล้วตลาดหุ้นไทยละ ? จะมีแนวโน้มอย่างไรต่อไป
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่าตลาดหุ้นไทยซึมซับข่าวเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยไปได้ระดับหนึ่งแล้ว ตามตลาดหุ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น
Nasdaq -8.5%
DAX -5.8%
Hang Seng -5.4% 
ในขณะที่ SET Index +0.24% ยังคง outperform ตลาดหุ้นทั่วโลก

ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า หุ้นไทยน่าจะยังดีต่อไป จากประเด็นเรื่องของการขึ้นดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า เศรษฐกิจเริ่มเห็นการฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง 
อีกทั้งตลาดหุ้นไทย ซื้อขายบน P/E ที่ลดลง จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ทำจุดสูงสุดใหม่

-----------------------------------
Reference

CNBC

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส