หุ้น Deep Value คือหุ้นที่ถูกมากๆ
พูดง่ายๆตามหลักการลงทุน คือ เป็นหุ้นทีมี Margin of Safety หรือส่วนเผื่อความปลอดภัยสูงมาก
ซื้อแล้วโอกาสขาดทุนถ้าถือไปหลายปีจะมีน้อยมาก
ลองสังเกตดูทุกครั้งที่ตลาดเกิดวิกฤตท่ามกลางความคลุมเครือ ความไม่แน่นอน ทั้งหุ้นใหญ่และหุ้นเล็กจะราคาลงแรง บางครั้งมันลงจนต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมากๆ
ทำให้คนที่ชอบความเสี่ยงต่ำสามารถหาหุ้นแบบนี้ไม่ยาก ...
ถึงแม้ว่าหุ้น Deep Value จะไม่ได้โตแบบบ้าคลั่ง แต่มันก็จะขึ้นมากพอจนทำให้เราพลิกพอร์ตได้เลย
ประเด็นคือ เราจะสังเกตหุ้น Deep Value ได้อย่างไรบ้าง
มี 6 ข้อสังเกตที่อยากจะเล่าสู่กันฟังแบบนี้ครับ
1. หุ้นใกล้เคียง Book Value หรือต่ำกว่า Book Value
Book Value พูดตามภาษาวิชาการ คือมูลค่าทางบัญชี
แต่ถ้าพูดกันให้เข้าใจง่ายๆ คือ ต้นทุนของเจ้าของ
การที่หุ้นสามารถลงมาใกล้ๆ หรือ ต่ำกว่า Book ได้นั้น แปลว่า ตลาดต้องมีวิกฤต
2. ธุรกิจต้องสามารถมีประวัติในการทำธุรกิจมายาวนานพอ เห็นการผ่านวิกฤตไปได้ ไม่เจ๊ง
ช่วงเศรษฐกิจดี บริษัทขยายการเติบโต กู้เงินมาลงทุนเร่งโต
แต่พอเกิดวิกฤตจะเป็นบททดสอบว่าบริษัทไหนสามารถยืนอยู่ได้ในระยะยาว หลักๆคือ "หนี้"
ถ้ามีหนี้มาก ก็เหนื่อยมากหน่อย อาจจะต้องเพิ่มทุน
ถ้ามีหนี้น้อย ก็เหนื่อยน้อยหน่อย พูดง่ายๆคือ ยังไปต่อได้ ไม่เจ๊ง
... สิ่งสำคัญคือ ดูพื้นฐานของบริษัท ทุกสิ่งอ้างอิงอยู่กับพื้นฐาน (Base on Fundamental) สินค้าและบริการของบริษัทยังมีความต้องการซื้ออยู่อีกไหม
3. สังเกตยอดซื้อขายของผู้บริหาร
เดียวนี้ข้อมูลตลาดเปิดเผยมากขึ้น นักลงทุนรายย่อยรู้หมดว่าเจ้าของบริษัทขายหุ้น หรือมีการซื้อหุ้นมาบ้างไหม
ซึ่งการซื้อขายของผู้บริหารถือเป็นสัญญาณที่ดี
ถ้าผู้บริหารขาย อาจจะมีเหตุผลอยู่หลายอย่าง เช่น ต้องการใช้เงิน รองรับการเพิ่มทุน ลดสัดส่วนกระจายสภาพคล่องให้นักลงทุนสถาบัน กองทุน เป็นต้น
แต่เหตุผลเดียวที่ผู้บริหารซื้อ คือ หุ้นต่ำกว่ามูลค่า
เราอาจจะสังเกตการเคลื่อนไหวของราคา + Volume ณ เวลานั้นด้วย ถ้าแกว่งตัวแคบๆ ปริมาณซื้อขายไม่มากก็น่าสนใจ
แต่ถ้าหุ้นลงแรงพร้อม Volume ก็อาจจะจับตาดูไปก่อน ... หุ้นมีรอบของมัน
4. รัดเข็มขัด
เวลาเราได้ยินว่าบริษัทนั้นลดคนงาน ลดการลงทุน หรือพูดง่ายๆคือ รัดเข็มขัด
เรามักจะมองไปในแง่ไม่ดี เพราะคิดว่าวิกฤตเศรษฐกิจกำลังจะมา
แต่ถ้าคิดในอีกแง่ คือ เป็นการลดต้นทุนขององค์กร เมื่อวิกฤตผ่านไปการรัดเข็มขัดที่เคยทำก่อนหน้า จะทำให้กำไรเติบโตต่อไปได้
5. ช่วงวิกฤต อาจจะเป็นโอกาสของบริษัทที่ยังมีหนี้สินน้อย หรือมีการระดมทุนได้ไม่นาน
ตัวอย่างเช่น วิกฤตโควิดที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเรียกได้ว่า ย่ำแย่มาก
แต่เราจะเห็นไม่กี่องค์กรที่ทางหนึ่งก็ลดต้นทุน แต่อีกทางหนึ่งก็มีการลงทุนเพิ่ม ซื้อกิจการเพิ่ม ซื้อโรงแรมเพิ่มในราคาถูกๆ
เราอาจจะมองว่า องค์กรนั้นคิดอะไรอยู่ ใครเขามาลงทุนโรงแรม ลงทุนธุรกิจท่องเที่ยวเวลานี้เพราะมันย่ำแย่มาก
แต่เวลานั้นเป็นเวลาที่ดี จะได้ซื้อของถูก เวลาเศรษฐกิจฟื้นหุ้นจะเติบโตก้าวกระโดดจากการลงทุนในวิกฤต
6. ธุรกิจมี Business Model ที่ดี
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า บริษัทนี้มีสินค้าหรือบริการที่ดี
คำตอบ คือ อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)
ถ้า Net Profit Margin สูงขึ้น หรือ สูงกว่าคู่แข่ง ก็แปลว่า เรามี Business Model ที่ดีกว่า ควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า
ทั้งนี้ในความเป็นจริงมันก็มี "หลักการ" ในการค้นหาอย่างที่กล่าวไปข้างต้น
แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ ใจ
หมายความว่าเราต้องกล้าซื้อ ในขณะที่คนอื่นกลัว หรือในจังหวะที่ไม่มีเหตุผลที่เราจะซื้อหุ้นได้เลย
จังหวะแบบนั้นละ เป็นจังหวะที่เราจะได้เห็นหุ้น Deep Value