เมื่อวานมีข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วว่า SCB ยกเลิกธุรกรรมการเข้าซื้อหุ้นใน BITKUB สัดส่วน 51% มูลค่าราว 1.8 หมื่นล้านบาท
ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ...
ถ้าสมมุติว่า SCB ซื้อสำเร็จ กับซื้อไม่สำเร็จ แตกต่างกันตรงไหน และทางออกไหนน่าสนใจกว่ากัน
กรณีแรก คือ ซื้อสำเร็จ
การเข้าถือหุ้นกว่า 51% ใน BITKUB จะทำให้กำไรของ BITKUB เข้ามาร่วมอยู่ในประมาณการของ SCB โดยทีผ่านมา กำไรสุทธิของ BITKUB ในปี 2564 จะอยู่ที่ 2.55 พันล้านบาท
... ตามสัดส่วนการถือหุ้นของ SCB จะได้มาราวๆ 1.3 พันล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 3% ของกำไร SCB เท่านั้น
อีกทั้ง มูลค่าการซื้อขายในตลาด Digital Asset ในไทยปี 2565 น่าจะอยู่ราวๆ 7.1 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปี 2564 ที่เคยทำได้ 2.5 แสนล้านบาท (เป็นการลดลงมากถึง 72%)
ดังนั้น ภาพรวมของธุรกรรมเกิดขึ้นได้จริง แต่ก็ส่งผลบวกต่อประมาณการจำกัดมาก ..
อย่างไรก็ตามเมื่อดีลไม่สำเร็จ และมีการล้มเลิกกันไปแล้ว
เราจึงลองดูกรณีที่สอง คือ ซื้อไม่สำเร็จ กันครับ ..
พบว่าตลาดไม่ได้เซอร์ไพรส์มาก กับการซื้อไม่สำเร็จของดีล SCB และ BITKUB
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดคาดกันไว้แล้วหลังจากมีท่าทีของ SCB ที่มีการเลื่อนซื้อดีลออกไป เมื่อข่าวออกทำให้ราคาหุ้นบวกได้มากถึง 6% เทียบกับ SET Index ที่บวกได้เพียง 0.73% เท่านั้น
ฝ่ายวิจัยเอเชียพลัส มองว่า มีแนวโน้มที่ SCB อาจจะนำเงินสด 1.8 หมื่นล้านบาทไปบริหารจัดการในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น
1. การเพิ่มนโยบายจ่ายปันผล หรือมีการซื้อหุ้นคืน เพื่อยกระดับ ROE
2. นำไปต่อยอดของบริษัทย่อย เช่น CARDX , AUTOX , AlphaX หรือแม้แต่ MGC
โดยเฉพาะประเด็น MGC ที่อยู่ในระหว่างการยื่น Filling เพื่อเสนอขาย IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์
3. การนำเงินไปต่อยอดธุรกิจใหม่ๆเพื่อหา New S-Curve อื่นๆ อย่าง SCB10X
โดยสรุปแล้ว การเลือกไม่ซื้ออาจจะเป็นทางที่ส่งผลบวกต่อ SCB มากกว่าการซื้อ ครับ ...
------------------------------------------
Reference