#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

GDP ไทย อาจจะโต 3% ในปีนี้

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
504 views

สรุปสาระสำคัญ
- จีดีพีปีนี้จะอยู่ที่ 3% และปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4.3%
- การท่องเที่ยว จะเป็นตัวสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจในปีนี้และปีหน้า
- สิ่งที่น่ากังวล คือ การเกิด Wage price Spiral รัฐบาลคุมเงินเฟ้อไม่อยู่
- ปัญหาความขัดแย้งไต้หวัน และจีนเป็นประเด็นที่เราควรจะกังวล

 

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยภัทร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยในงาน ”โครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง (พศส.) ปี 2565 Next chapter for wealth : เปิดโลกสร้างความมั่งคั่งสู่ความมั่นคง” ภายใต้หัวข้อ “การเงินดี สุขภาพดี ชีวิตดี” ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจหลังการระบาดของโควิด-19 จากข้อมูลธนาคารโลก (World Bank) ภาพการเติบโตไม่ค่อยดีตัวเลขไหลลง โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศที่การฟื้นตัวแย่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น โดยคาดการณ์ว่าจีดีพีปีนี้จะอยู่ที่ 3% และ ปี 66 จะขยายตัวอยู่ที่ 4.3%

 อย่างไรก็ตาม หากมองตัวเลขการเติบโตที่ระดับ 3-4% ในปีหน้า ถือว่าเป็นการโตสวนกระแสเศรษฐกิจโลกที่กำลังเข้าสู่ภาวะการเติบโตขาลง ซึ่งปัจจัยขับเคลื่อนเดียวที่เหลือจะสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจในปีนี้และปีหน้า คือ ภาคการท่องเที่ยว

 

 โดยภาคการท่องเที่ยวสัญญาณทยอยฟื้นตัว ซึ่งตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวครึ่งปีแรกของปีนี้เข้ามาแล้ว 2 ล้านคน และ คาดว่าครึ่งหลังจะเข้ามาได้อีก 6-8 ล้านคน โดยหากมียอดใช้จ่ายต่อคนเฉลี่ยอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท คิดเป็นรายได้ 3 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็น 2% ของจีดีพี และ ในปี 66 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 20 ล้านคน คิดเป็นเม็ดเงินราว 1 ล้านล้านบาท หรือ 5-6% ของจีดีพี

 

 ซึ่งหากดูในช่วงปี 59-62 รัฐบาลขาดดุลเงินสดราว -3.1% ของจีดีพี เพื่ออุ้มเศรษฐกิจ ส่งผลให้รัฐบาลมีหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 24% เป็น 53% สะท้อนถึงการบริหารการคลังของรัฐบาล ซึ่งสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ ตราสารหนี้ของรัฐบาลจะมีอายุครบกำหนดในปี 67-68 ภายใต้สถานการณ์ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นจะส่งผลต่อต้นทุนภาระหนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันรัฐบาลมีหนี้อยู่ประมาณ 8.92 ล้านล้านบาท จากภาระหนี้สาธารณะที่มีอยู่ 10.12 ล้านล้านบาท จากมูลค่าจีดีพีของประเทศอยู่ที่ 16.62 ล้านล้านบาท

 

 สำหรับประเด็นที่น่ากังวล คือ การเร่งตัวของเงินเฟ้อที่เดือนล่าสุดอยู่ที่ระดับ 7.61% ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% จากระดับ 0.50% เป็น 0.75% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อ ดังนั้น หากปัญหาเงินเฟ้อเอาไม่อยู่ และ ปี 66 ธปท.คาดว่าเงินเฟ้อจะสามารถเข้ากรอบได้ 1-3% แต่หากไม่เป็นไปตามคาดการณ์ และ เงินเฟ้อไปแตะระดับ 5% โดยเริ่มเป็นเงินเฟ้อลึก (Wage price Spiral) เชื่อว่าแม้ดอกเบี้ยจะไปอยู่ที่กว่า 1% แต่ก็ยังสูงไม่พอเงินเฟ้อ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นอาจกระทบเศรษฐกิจได้

 ทางด้านปัจจัยเสี่ยงของภูมิภาคเอเชียในอนาคต หรือ ระยะ 10 ปีข้างหน้า คือ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไต้หวันและจีน เนื่องจากไต้หวันมีการส่งออกไปจีนสูง 28% และ ฮ่องกง 14.1% และ มีการนำเข้าจากจีนกว่า 20% โดยสัดส่วนมากกว่า 35% เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค หากเกิดความขัดแย้งอาจจะลำบาก เพราะหากดูงบประมาณกลาโหมของจีนมากกว่าไต้หวันสูงถึง 20 เท่า

 

 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจับตามองหากความขัดแย้งไปสู่การสู้รบจะกระทบทั่วโลก เนื่องจากไต้หวันเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในระบบเศรษฐกิจโลกถึง 64% และ โดยเฉพาะบริษัทรายใหญ่สุดที่อยู่ในไต้หวันมีมาร์เก็ตแชร์แล้ว 54% ดังนั้น หากมีปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นย่อมส่งผลไม่ดีต่อตลาด และ เศรษฐกิจโลก


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง