สำหรับปีนี้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับยางพารา หลังจากผ่านพ้นวิกฤตโควิดไปราคาหุ้นก็ร่วงมาตลอด
โดยเฉพาะหุ้น STGT ที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นพิเศษ ร่วงลงมาแล้วกว่า 57% ภายใน 1 ปี
ถามว่าสาเหตุที่นักลงทุนกังวลกับหุ้น STGT จึงเกิดการเทขายลงมา คือเรื่องอะไร
คำตอบ คือ น่าจะมาจาก 2 ประเด็น
1. ผลประกอบการที่ลดลงอย่างมาก
2. ความต้องการขาย (Supply) มากกว่าความต้องการซื้อ (Demand) อยู่มาก
ในเรื่องของผลประกอบการ ล่าสุดไตรมาส 2 พบว่า...
ทำกำไรสุทธิได้เพียง 616 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้สูงถึง 7.28 พันล้านบาท หรือคิดเป็นการลดลงกว่า 92% yoy
ทำให้ยอด 6 เดือนของปี 2565 เหลือเพียง 1.66 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้สูงถึง 17.33 พันล้านบาท ... ต่างกันเยอะมากๆ
โดยสาเหตุมาจาก ปริมาณการขายลดลง (-3.5% qoq) มีคู่แข่งจากจีนเพิ่มมากขึ้น
และราคาขายเฉลี่ยก็ลดลง (-5.5% qoq)
จาก 2 เรื่องที่กล่าวมาทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากเดิม 24.5% เหลือเพียง 20.3%
ในเรื่องของ Supply และ Demand
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์กรุงศรี วิเคราะห์ว่าปริมาณความต้องการซื้อจะโตราวๆ 15%
ในขณะที่ปริมาณความต้องการขายจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 20-30% โดยเฉพาะผู้เล่นใหม่จากจีน ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยลดลง
บทวิเคราะห์จึงมองว่า STGT ยังคงตามหาจุดต่ำสุดอยู่ต่อไป ....
สำหรับภาพระยะสั้น ผลประกอบการน่าจะฟื้นตัวได้ในไตรมาส 3
จากสาเหตุเรื่องของต้นทุนวัตถุดิบที่มีแนวโน้มลดลงราวๆ 11% - 20% จะช่วยผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้นดูดีขึ้น อีกทั้งราคาขายเฉลี่ยถุงมือยางไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะผู้เล่นในจีนก็พอใจที่จะขายราคานี้เหมือนกัน จึงไม่มีความจำเป็นต้องกดราคาลงไปอีก
ดังนั้น สำหรับ STGT ถามว่าจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน ?
คำคอบก็คือ ยังไม่มีใครรู้ แต่ภาพในไตรมาส 3 น่าจะเห็นการฟื้นตัวของผลประกอบการ
แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ ปริมาณการซื้อที่โตไม่ทันปริมาณความต้องการ กดดันให้ราคาขายเฉลี่ยลดลง
เมื่อราคาขายเฉลี่ยลดลง ผลประกอบการของ STGT ก็อาจจะยังมีปัญหาอยู่ต่อไปครับ
อนึ่ง STGT มีการจ่ายเงินปันผล 0.5 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 23 สิงหาคม 2565
คิดเป็น Div. Yield ที่ 3.1%
------------------------------------------
Reference