เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงแรงงานเปิดเผยว่าอยู่ระหว่างการพิจารณา "ขึ้นค่าแรง"
โดยจะปรับเพิ่มขึ้นราวๆ 5-8% อิงกับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะเริ่มใช้วันที่ 1 มกราคม 2566 ในปีหน้า
เราในฐานะนักลงทุน อาจจะมีคำถามในใจว่าแล้วจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อตลาดหุ้นไทย
คำตอบ คือ กระทบในเชิงลบ โดยจะมีกลุ่มหุ้นที่เสียประโยชน์ และกลุ่มหุ้นที่เสียประโยชน์เล็กน้อย
แต่ถ้าเราพูดถึงภาพรวมของ SET Index อาจจะอยู่ใน "วงจำกัด"
ยังไง มาดูกัน .. ?
กลุ่มหุ้นที่เสียประโยชน์
1. กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
2. กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร
3. กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย
4. อุตสาหกรรมชิ้นส่วนฯ
5. กลุ่มอุตสาหกรรมรับเหมา ICT
กลุ่มหุ้นที่เสียประโยชน์เล็กน้อย
1. กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน
2. สื่อ - โฆษณา
3. อุตสาหกรรม Logistic และการขนส่ง
4. กลุ่มโรงพยาบาล
5. ค้าปลีก
6. กลุ่มท่องเที่ยว และโรงแรม
7. กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
ถามว่าในอดีต การขึ้นค่าแรงของไทยส่งผลให้ SET Index เคลื่อนไหวอย่างไร ?
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส แสดงความคิดเห็นว่า ประเทศไทยเคยขึ้นค่าแรงมาแล้ว 6 ครั้ง และกระทบต่อ SET Index จำกัด อีกทั้งยังสามารถปรับขึ้นได้เฉลี่ยราวๆ 0.9% ในแต่ละครั้ง
นักลงทุนมองว่า การขึ้นค่าแรงจะเป็นประโยชน์ต่อกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีกลุ่มหุ้นที่ค่อนข้าง Outperform ตลาด เช่น กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มค้าปลีก กลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้น
ในทางตรงกันข้าม กลุ่มที่ Underperform ตลาดมากที่สุด คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
โดยสรุปแล้ว การขึ้นค่าแรงจะกระทบกลุ่มกลุ่มหุ้นบางกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงาน
แต่ถ้าพูดถึงภาพรวมตลาดหุ้น ถือว่ามีมุมมองเป็นบวก โดยมีแนวโน้มปรับขึ้นได้เกือบ 1% เพราะนักลงทุนมองว่ากำลังซื้อของประชาชนเพิ่มขึ้น จะหนุนให้หุ้นบางกลุ่มได้รับผลประโยชน์
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ คือเรื่องของ Wage Price Spiral
พูดง่ายๆ คือ ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ลูกจ้างเรียกร้องให้เพิ่มค่าแรง เมื่อค่าแรงเพิ่มหมายความว่าต้นทุนเพิ่ม นายจ้างก็จะไปเพิ่มราคาสินค้าอีก เกิดเป็นปัญหาเงินเฟ้อแบบ "วนลูป" ไปเรื่อยๆที่ยากจะแก้ไข
สุดท้าย ก็จะนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจในที่สุด .....
--------------------------------------------------
Reference