คนแต่ละรุ่นมอง Wealth หรือ ความมั่งคั่ง ต่างกัน
และนี่คือ สิ่งที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ
เพราะ เมื่อความต้องการของตลาดเปลี่ยน ธุรกิจจะเปลี่ยนตาม
>>> คนรุ่นก่อน มองวัตถุ สิ่งของ เป็นความมั่งคั่ง
... คนรุ่นก่อนก็จะสะสม สิ่งของต่างๆ
ยิ่งรวยก็ยิ่งต้องครอบครองสิ่งของมากขึ้น แต่คนรุ่นใหม่ มองตรงข้าม เขาให้ค่ากับ "ความอิสระ"
ดังนั้น คนที่มีสิ่งของมาก บ้านใหญ่ มีของแพงๆ ก็ดีนะ แต่ขาดอิสระ เพราะ ต้องห่วงตลอด ต้องคอยดูแลของมีค่าที่ตัวเองครอบครอง
>>> งั้นต้องหาของมีค่า ที่ครอบครองแล้ว ยังให้ความอิสระกับเรา
... ถ้ามองย้อนไป คนมีที่ดินเยอะก็คือรวย แต่ที่ดิน ต้องคอยดูแล จ่ายภาษี และ ขายยาก
ยุคผม "หุ้น" เริ่มเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่ให้อิสระมากขึ้น
>>> ของเล่นล่ะ
... คนรุ่นใหม่ไม่สะสมของเล่น พูดง่ายๆ ถ้าเบื่อ ก็ขายต่อ ไม่เก็บ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล้าซื้อของเล่นที่แพงได้ เพราะ ของดีที่แพง ของท๊อป เวลาขายราคาไม่ตก
งั้นซื้อรุ่นท๊อปเลย พอเบื่อก็ขายทิ้ง เราเลยเริ่มเห็นตลาดของแพง บูม เขาไม่ได้ซื้อมาสะสมเหมือนคนรุ่นเก่า แต่เขาซื้อมาเอาประสบการณ์แล้วก็ผ่านไป
ผมว่า วิธีคิดแบบนี้ เลยทำให้ การทำงานเปลี่ยน การใช้ชีวิตเปลี่ยน และ การลงทุนก็เปลี่ยน
>>> ทำงานไม่ได้อยากได้ตำแหน่ง แต่จะเอาเงิน
เพราะ "เงิน" จะทำให้เขามีอิสระ แล้วไปต่อยอดได้
>>> การใช้ชีวิต ให้ความสำคัญกับปัจจุบันและความสุขมากขึ้น
ต่างจากคนสมัยก่อนที่ทำทุกอย่างเพื่ออนาคต เก็บให้ลูกหลาน สร้างตระกูล สะสมอำนาจ สร้างความยิ่งใหญ่
>>> การลงทุน หันมาลงทุนในสิ่งที่ทำให้เขามีอิสระ
ไม่ลงทุนที่สร้างภาระและการยึดติด
ข้อเสียล่ะ อิสระ ต้องแลก ด้วยความมั่นคง ... ยิ่งอิสระ ความมั่นคงก็ลดลงด้วย
แก้ได้ด้วย ความมั่งคั่ง เพราะ เงิน ซื้อเวลาเราคืนได้ ซื้อความสะดวกสบายได้
แปลว่า คนรุ่นใหม่ ต้องให้ความสำคัญกับ การลงทุน มากขึ้น
ยิ่งต้องการความอิสระ พอร์ตการลงทุนยิ่งต้องมั่นคงและ มั่งคั่ง
สรุป ‘ต้องรวย