กระแสข่าวที่กลับมาสร้างความมกังวลอีกครั้ง คือ การเยือนของนางเพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฏรอเมริกา ได้เดินทางถึงไต้หวันและกล่าวว่าเราเคารพความเป็นประชาธิปไตยของไต้หวัน
ซึ่งการเดินทางมาเยือนครั้งนี้สร้างกระแสความไม่พอใจให้กับจีนเป็นอย่างมาก เพราะผิดหลักการนโยบาย "จีนเดียว" ที่มีมาโดยตลอด
ทำให้ทางการจีนมีการซ้อมรบทางทหารขึ้นมา
สื่อต่างชาติเลยแสดงความคิดเห็นว่า อาจจะเกิดสงครามจีน - อเมริกา ขึ้นมาอีกครั้ง ....
ถ้าพูดถึงกันเฉพาะเชิงเศรษฐกิจและการเงิน
ประเด็นคือ นักลงทุนกังวลอะไรกับการที่เพโลซี เยือนไต้หวัน ?
คำตอบ คึอ ความขัดแย้งอาจจะส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกล่าช้าออกไป รวมถึงนโยบายการลดกำแพงภาษีตั้งแต่สมัยของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ยืดเยื้อออกไป
... แน่นอนว่ากำแพงภาษี จะส่งผลต่อดัชนีหุ้นไทยให้กลับมามีความกังวลกันอีกครั้ง
ประเด็นแรก คือ เศรษฐกิจโลกอาจจะ "สะดุด" อีกครั้ง
ทาง IMF ได้มีการลดคาดการณ์ World GDP Growth ปี 2565 น่าจะอยู่ที่ 3.2% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ราวๆ 3.6%
ซึ่งถ้าเกิดความขัดแย้งขึ้นจริงๆ อาจจะทำให้ทาง IMF อาจจะต้องการปรับลดระดับการเติบโตลงไปอีก รวมถึงความเสี่ยงต่างๆทางเศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นด้วย เช่น ปัญหาเงินเฟ้อ อาจจะกลับมาสร้างความกังวลใหม่อีกครั้ง
ประเด็นที่สอง คือ จะส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่า สสัดส่วนทางการค้าระหว่างไทย-จีน และไทย-อเมริกา มีสัดส่วนมากถึง 33%
... การค้าระหว่างไทย และจีน มีสัดส่วนมากที่สุด คิดเป็น 22%
... การค้าระหว่างไทย และอเมริกา มีสัดส่วนราวๆ 11%
ซึ่งโครงสร้างของ GDP จากการส่งออก คิดเป็นสัดส่วน 68%
นั้นหมายความ ถ้าเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นอาจจะส่งผลต่อการเติบโตของประเทศไทยได้ในอนาคต
และที่สำคัญที่สุด คือ เรื่องของกำแพงภาษี ....
ฝ่ายวิจัยมองว่า ถ้าประเด็นนี้ยืดเยื้อ จะส่งผล Sentiment เชิงลบ ต่อตลาดหุ้นไทย
โดยในอดีตที่ผ่านมา การขึ้นกำแพงภาษีแต่ละรอบ ส่งผลให้หุ้นไทย "ร่วง" ราวๆ -10%
พร้อมกับ Fund Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยราวๆ 8 หมื่นล้านบาท - 1 แสนล้านบาท ซึ่งมาจากแรงขายของหุ้นขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้เป็นแค่ "ความกังวล" มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆก็เป็นได้
นักลงทุนจำเป็นต้องจับตากันอย่างใกล้ชิดครับ ...
-------------------------------------
Reference