1. สภาวะ Stagflation คือ เงินเฟ้อพุ่ง ในขณะที่การเติบโตของประเทศยังตกต่ำ
2. สวาวะ Recession คือ สภาวะที่ GDP ติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส
ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐก็เป็นสัญญาณที่ชัดเจนแล้วว่า ต้องการชะลอเงินเฟ้อ และมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้นอีก พร้อมๆกับราคาพลังงานที่น่าจะปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง
ดังนั้น สื่อหลายๆสำนักจึงคาดกันว่า GDP ของอเมริกาน่าจะอยุ่ราวๆ 2% ได้ภายในปี 2022 จนถึงปี 2024
แต่ถ้าถามว่ามีโอกาสเกิด Recession บ้างไหม ?
คำตอบก็คือ มี
... แต่อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมได้ ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นเป็นวิกฤตรอบใหม่
ในช่วงปี 1980 อเมริกาเคยเจอกับเงินเฟ้อสูงระดับ 15% กดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ยแตะระดับสูงถึง 20% ส่งผลให้เกิดสภาวะ Recession และ GDP พลิกมาหดตัว -2%
จะเห็นว่าสถานการณ์เงินเฟ้อที่เราอ่านข่าวปัจจุบัน "ไม่ได้รุนแรง" เหมือนอย่างในอดีตที่เคยเกิด
พูดง่ายๆคือ เราอาจจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไปเรื่องเศรษฐกิจโลก ....
มันอาจจะเป็นการปรับตัวของสภาวะเศรษฐกิจที่อาจจะใช้เวลายาวนานไปสักหน่อย (สื่อคาดกันว่าน่าจะลากยาวไปจนถึงปี 2023 แต่เชื่อเถอะว่าระหว่างนั้นเราก็อาจจะต้องกังวลกับเรื่องใหม่ๆ)
กลับมาที่ประเทศไทย
ถามว่า ประเทศไทยจะมีปัญหา หรือความน่ากังวลอะไรที่เรายังไม่รู้บ้างหรือเปล่า
คำตอบ คือ เศรษฐกิจไทยอาจจะเจอกับปัญหาเรื่องเงินเฟ้อสูง แต่ภาพรวมก็ยังดูดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ และไม่เข้าข่ายเกิด Stagflation
... สภาพัฒน์ มองว่า GDP ของไทยจะเติบโตในปี 2022 ราวๆ 2.5-3.5%
... แบงก์ชาติ มองว่า GDP ของไทยจะเติบโตในปี 2022 ราวๆ 3.3%
โดยมีความเห็นตรงกันว่า เงินเฟ้อจะพีคในปี 2022 ที่ 6.2% และจะลดลงเรื่อยๆเหลือ 2.5% ในปี 2023 ซึ่งถือเป็นเงินเฟ้อ "อ่อนๆ" ที่จะเป็นผลเชิงบวกกับเศรษฐกิจ ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจยังไม่เข้าข่ายเกิด Stagflation เหมือนอเมริกาและยุโรป

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ฟินันเซีย มองว่าเศรษฐกิจไทยจะได้ปัจจัยบวก จาก 2 ประเด็นหลัก คือ
1. การท่องเที่ยวคือกุญแจหลักของการเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจไทย
2. การส่งออกยังแข็งแกร่ง และยังได้รับอานิสงค์จาก "บาทอ่อน'
โดยภาพรวมแล้ว เราอาจจะกำลังมองโลกในแง่ร้ายเกินไป
ถ้าเรามองแตกต่าง จะเห็นโอกาสในช่วงเวลาที่มืดมน ครับ ....
-------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ฟินันเซีย