เมื่อไม่นานมานี้ธนาคารกลางเมียนมาออกคำสั่งให้ธนาคารพาณิชย์แจ้งลูกค้าธุรกิจและรายย่อย ระงับการจ่ายหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้ต่างประเทศ เพื่อรักษาปริมาณทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงรัฐบาลได้สั่งห้ามนำเข้ารถยนต์ และสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ เพื่อลดแรงกดดันต่อ "ค่าเงินจ๊าด"
พูดง่ายๆคือ รัฐบาลพม่ากำลังเข้าควบคุมเงินสกุลเงินของประเทศอย่างชัดเจน
จากเดิมเรทในการแลกอยู่ที่ 1 ดอลล่าร์ แลกได้ 1,325 จ๊าด
กลายมาเป็น 1 ดอลล่าร์ จะแลกได้ 1,850 จ๊าด (ค่าเงินอ่อนค่าลงราวๆ 30%)
ในขณะที่ตลาดมืดแลกได้ 1 ดอลล่าร์ จะแลกได้ 2,200 จ๊าด
จริงๆเรื่องของปริมาณเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลง ไม่ใช่แค่เมียนมาอย่างเดียว
แต่หลายประเทสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ลดลงมากด้วยเช่นกัน
ฝ่ายวิจัยเอเชียพลัส รวบรวมข้อมูลมาว่า
... ประเทศไทย มีเงินทุนสำรองเหลือ 2.22 แสนล้านเหรียญ ลดลง 9.6% YTD
... ประเทศมาเลเซีย มีเงินทุนสำรองเหลือ 1.08 แสนล้านเหรียญ ลดลง 7.5% YTD
... ประเทศฟิลิปปินส์ มีเงินทุนสำรองเหลือ 1.01 แสนล้านเหรียญ ลดลง 6.3% YTD
... ประเทศอินโดนีเซีย มีเงินทุนสำรองเหลือ 1.36 แสนล้านเหรียญ ลดลง 5.8% YTD
... ประเทศเมียนมา มีเงินทุนสำรองเหลือ 7.7 พันล้านเหรียญ
ถือว่าประเทศไทยมีเงินสำรองลดลงต่ำสุดนับตับแต้ปลายปี 2019 สอดคล้องกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่ามาราวๆ 10% YTD เข้าไปแล้ว
ถามว่าทุนสำรองที่ลดลง ส่งผลกระทบอย่างไร ?
คำตอบคือ ทิศทางเงินของต่างชาติ (FundFlow) อาจจะไหลออก และเป็นแรงกดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติถือสัดส่วนที่สูง ก็มีโอกาสถูกเทขายมากกว่าปกติ
กลับมาที่เมียนมา ...
ถามว่าการที่รัฐบาลออกมาควบคุมค่าเงินลักษณะนี้ แสดงให้เห็นถึงอะไร และจะส่งผลกระทบต่อหุ้นไทยอย่างไรบ้าง ?
ประเด็นแรก คือ แสดงถึงอะไร
เราต้องเข้าใจก่อนว่า ตั้งแต่ประเทศมีการรัฐประหาร ก็ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักมาโดยตลอด ผสมกับโรคระบาดโควิด ปัญหาเศรษฐกิจโลก ต้นทุนพลังงานแพงขึ้น เงินเฟ้อพุ่ง
อย่างตัวเลขล่าสุดพบว่า GDP ติดลบสูงถึง 18.4% และเงินเฟ้อพุ่งแรงถึง 12.63%
พูดง่ายๆคือ ประชาชนเมียนมาเจอวิกฤต 2 เด้ง
เด้งแรก คือ เงินในกระเป๋าลดลง .. เพราะเศรษฐกิจเติบโตลดลง
เด้งสอง คือ กำลังซื้อของตัวเองลดลง ... เพราะข้าวของแพงขึ้น
และการที่รัฐบาลออกมาควบคุม รวมถึงการนำเข้าสินค้าจะยิ่งทำให้กระทบต่อกระบวนการผลิตของหลายบริษัทในเมียนมา การส่งออก และจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมภาคเศรษฐกิจต่อไปอีก (นานนนนนหลายปี ...)
ประเด็นที่สอง คือ กระทบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างไร ?
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส มองว่าปริมาณการค้าระหว่างไทยกับเมียนมาถือเป็นอันดับ 2 โดยมีมูลค่าราวๆ 4.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนทางการค้ากับไทยเพียง 0.85% เท่านั้น
ดังนั้น ประเด็นนี้น่าจะกระทบการค้ากับไทย "อยู่ในวงจำกัด"
แต่ถ้าถามว่ามีกลุ่มธุรกิจไทยที่ไปลงทุนในเมียนมา กระทบมากแค่ไหน
ก็ต้องยอมรับว่ามีได้รับผลกระทบบ้าง เช่น
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น SCC มีรายได้จากธุรกิจโรงปูนในเมียนมาคิดเป็น 0.7% ของรายได้รวม จึงไม่กระทบมาก
กลุ่มรับเหมากอสร้าง เช่น ITD มีการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย อาจจะต้องรอดูความชัดเจน
NWR มีการก่อสร้างโรงแรมในเมียนมา
TTCL มีการลงทุนโรงไฟฟ้า อาจจะได้รับผลกระทบ
กลุ่มเครื่องดื่ม เช่น OSP รายได้จากต่างประเทศ 4.3 พันล้าน (คิดเป็น 16% ของยอดขาย) ส่วนใหญ่มาจากเมียนมา แต่เนื่องจากว่าค้าขายเป็นสกุลเงินจ๊าดอาจจะไม่ได้รับผลกระทบจากตรงนี้ แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่า คือ กำลังซื้อของประชาชนเมียนมาลดลงมาก และเศรษฐกิจก็ยังดูอ่อนแอเกินไปหลังผ่านการรัฐประหาร
กลุ่มสินเชื่อ เช่น AEONTS ได้รับผลกระทบจำกัด เพราะหลังรัฐประหารก็ได้หยุดปล่อยสินเชื่อแล้ว จึงไม่กระทบมาก
กลุ่มพลังงาน เช่น PTTEP มีโครงการในเมียนมา แต่รับโอนเงินเป็นดอลล่าร์ และแลกสกุลเงินจ๊าดเรื่องการใช้จ่ายเท่านั้น
รวมถึงยังทำนอกประเทศเมียนมา จึงไม่มีความเสี่ยงเรื่องนี้
กลุ่มชิ้นส่วน เช่น DELTA มีโรงงานในเมียนมา แต่ซื้อขายอยู่ในสกุลเงินบาทและส่งกลับมาประกอบในไทย จึงได้รับผลกระทบจำกัด
โดยสรุปแล้ว การควบคุมค่าเงินของรัฐบาลก็เป็นสัญญาณแล้วว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลัง "ดิ่งเหว" ลงเรื่อยๆ และฐานะทางการเงินก็อยู่ในสภาวะอ่อนแออย่างมาก
แต่กระทบกับไทยน้อยมาก โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนที่มีสัดส่วนรายได้ในเมียนมาน้อย
ส่วนใหญ่ทำธุรกิจในสกุลเงินบาทและดอลล่าร์สหรัฐ จึงไม่มีความน่ากังวลอะไรมากนัก
แต่สิ่งที่น่าจับตา คือ ทิศทางเงินที่ไหลออกจะกดดันให้หุ้นไทยไม่ขึ้นต่อไปอีกสักระยะ ...
---------------------------------------------------
Reference
Bloomberg
ผู้จัดการออนไลน์
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
THE STANDARD WEALTH
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส