เราเคยสงสัยไหมว่า ทำไมเราต้องสะสมความมั่งคั่งผ่านทองคำ
ทำไมเราไม่สะสมทองแดง ? หรือสะสมเงิน (Silver) แทน ?
ทำไมทองคำจึงกลายมาเป็นผู้ชนะในสงคราม "ตัวเก็บออม" ของมนุษยชาติมาหลายพันปี ...
จริงๆแล้ว ทองคำถูกท้าทายมาตลอดตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีการค้าขายแบบจริงๆจังๆ และมีเงินเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นทองแดง สังกะสี นิกเกิ้ล ทองเหลือง หรือแม้แต่น้ำมัน
ครั้งหนึ่งเคยมีผู้มั่งคั่งจำนวนมาก อยากจะเก็บสะสมทรัพย์สมบัติที่เขามีลงไปในทองแดง เขาจึงพยายามกว้านซื้อทองแดงจำนวนมาก
แน่นอนว่า เมื่อความต้องการซื้อพุ่งสูง (Demand) ก็ทำให้ราคาทองแดงพุ่ง
เมื่อราคาทองแดงพุ่ง ก็จะเป็นตัวดึงดูดให้คนอื่นๆหันมาซื้อตามด้วยเพราะคิดว่า "ทองแดง" กำลังจะกลายเป็นสินทรัพย์ที่จะช่วยรักษามูลค่าของเราในระยะยาว
แต่กลับกลายเป็นว่า เมื่อราคาพุ่งสูง ก็จะเป็นตัวดึงดูดให้นักลงทุน พ่อค้า เจ้าของโรงงาน เร่งผลิตทองแดงเพิ่มเพราะพวกเขาคิดว่าจะได้กำไรดี พร้อมๆกับคนที่เข้ามาซื้อทองแดงเป็นกลุ่มแรกๆ เห็นว่าเหมาะสมในการขายทำกำไร จึงเทขายทองแดงออกมา
เมื่อปริมาณความต้องการขาย (Supply) เพิ่มขึ้น ก็จะเป็นการกดราคาทองแดงให้ลดต่ำลงมา
สุดท้าย ตลาดก็จะปรับสมดุล Demand = Supply ราคาก็จะเกิดการเหมาะสมในท้ายที่สุด
ส่งผลให้ผู้เก็บออมต้องสูญเสียความมั่งคั่งจากมูลค่าทรัพย์สินที่ลดลง
และเหตุการณ์นี้ก็จะเกิดวนๆกันไปเป็นวัฐจักร ... เราเรียกสิ่งนี้ว่า "กับดัก"
ซึ่งผิดกับหลักการของมนุษย์ตั้งแต่แรกที่้ต้องการ "รักษา" มูลค่าความมั่งคั่ง ไม่ใช่การเก็งกำไรในตลาดฟองสบู่
ตลาดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ผ่านมา โลหะที่เป็นผู้ชนะในสงครามสินทรัพย์เพื่อการรักษามุลค่าความมั่งคั่ง คือ "ทองคำ"
ด้วยเหตุว่าทองคำมีลักษณะพิเศษอยู่ 2 อย่าง คือ
1. ทองคำไม่สามารถสกัดออกมาจากแร่อื่นได้ เป็นสิ่งหายาก ต้นทุนการผลิตสูง และเป็นพิษต่อผู้ที่ขุด
ทองคำมีคุณสมบัติทางเคมีที่พิเศษมาก (ว่ากันว่าทองคำเป็นแร่ที่กำเนิดมาจากนอกโลก) ไม่สามารถสกัดหรือเล่นแร่แปรธาตุจากแร่ชนิดอื่นได้ ซึ่งนั้นหมายความว่าการที่เราจะผลิตทองคำได้นั้นมีเพียงอย่างเดียว คือ สินแร่ทองคำ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก
2. ปริมาณการผลิตทองคำใหม่มีอัตราที่คงที่มาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
ทองคำเป็นสินแร่ที่หายาก มีต้นทุนสูงในการผลิต และเป็นพิษต่อผู้ที่ขุดมันขึ้นมา จึงทำให้ปริมาณการผลิตทองคำใหม่มีอัตราที่คงที่มาตลอดประมาณ 1.5-3% ต่อปี
ในขณะที่ความต้องการซื้อมีสูงกว่ามาก และคนส่วนใหญ่นิยมซื้อมาเพื่อเก็บ ทำให้ความต้องการขายไม่ถูกนำมาหมุนเวียนในตลาด ทำให้ทองคำที่ผลิตเพิ่มเข้ามาใหม่นั้นไม่สามารกดราคาทองคำให้ลง เหมือนสินทรัพย์หรือแร่ชนิดอื่นๆได้
ตลอดความท้าทายของทองคำ สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ท้าชิงอันดับสองมาโดยคลอด คือ "เงิน" (Silver)
แร่เงินเป็นสินแร่ที่หาได้ง่ายกว่า ต้นทุนการผลิตถูกกว่า แต่ก็ผุกร่อนได้ง่ายว่ามากด้วยเหมือนกัน
ทำให้แร่เงินกลายมาเป็นแร่เพื่อใช้ในการสกัดเป็นเหรียญเพื่อหมุนเวียนในตลาดมากกว่าทองคำ
จึงทำให้หลายร้อยปีที่ผ่านมา เงิน กลายมาเป็นสินทรัพย์เพื่อธุรกรรมขนาดเล็ก
ในขณะที่ทองคำได้รับบทบาทเป็นเพื่อการเก็บสะสม เพื่อธุรกรรมขนาดใหญ่ หรือแม้แต่กลายมาเป็นแหล่งสำรองเงินกระดาษเพื่อให้ค่าเงินในประเทศมีเสถียรภาพ
อีกทั้งคนหันมาใช้เทคโนโลยีมากขึ้น สามารถทำธุรกรรมผ่านสมาร์ทโฟนเคลื่อนย้ายเงินตราผ่านอากาศ ทำให้แร่เงินถูกลดบทบาทลงไปมาก รวมถึงอนาคตที่จะถึงนี้ด้วย