- KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทรประเมินว่าการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังถูกกดดันมากขึ้นจากทั้งปัจจัยด้านเงินเฟ้อในประเทศ การปรับดอกเบี้ยขึ้นของธนาคารกลางหลายแห่ง และเงินบาทที่อ่อนค่าลง และคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 50 bps ในการประชุมรอบหน้าเดือนสิงหาคมจากที่เคยคาดว่าจะปรับขึ้น 25 bps และขึ้นต่อเนื่องอีกครั้งละ 25 bps จนถึงปลายปี
- ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นช้าที่สุด ในขณะที่การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางอื่น ๆ กำลังเร่งตัวเร็วขึ้น โดยเมื่อเปรียบเทียบระดับดอกเบี้ยนโยบายของไทยกับโลกพบว่ามีเพียงไม่กี่ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ธนาคารกลางยุโรป ที่ยังมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำกว่าไทย
- แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่ยังฟื้นตัวได้ช้าและยังไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น KKP Research ประเมินว่ามีความเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ
1. ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่กว้างขึ้นจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเร็ว
2. ดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีโอกาสขาดดุลมากกว่าที่คาดโดยเฉพาะหากราคาน้ำมันค้างอยู่ในระดับสูงถึงปลายปี
3. ความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางในการดูแลเงินเฟ้อหากปล่อยให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงยาวนานและกระทบกับการคาดการณ์ของคน
จากเดิมที่คาดว่าการประชุมแบงก์ชาติครั้งหน้าเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าน่าจะมีการปรับดอกเบี้ยขึ้น แต่ที่ตลาดคาดว่าจะปรับ คือ 0.25% เท่านั้น
แต่บทวิเคราะห์ล่าสุดจาก KKP Research มองว่าประเทศไทยจะถูกกดดันให้ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้
หลังจากที่ธนาคารกลางทั่วโลกปรับอัตราดอกเบี้ยลงไปถึงหรือใกล้ 0% หลังเจอวิกฤตโควิด แต่ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น และขึ้นในอัตราที่มากกว่าและเร็วกว่าที่ตลาดคาด
... โดยนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาปรับดอกเบี้ยขึ้นไปแล้ว 1.5% และคาดว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึง 3.5-4% ภายต้นปีหน้า
... นอกจากนี้ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย แคนาดา ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปแล้ว 1.25%
... อังกฤษปรับดอกเบี้ยขึ้นไปแล้ว 1%
และเกาหลีใต้ปรับดอกเบี้ยขึ้นไปแล้ว 0.75%
รวมถึงหลายธนาคารกลางเหล่านี้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นครั้งละ 0.5-0.75% มากกว่าที่ปกติแล้วจะปรับขึ้นลงครั้งละ 0.25% จากความกังวลว่าการปรับดอกเบี้ยช้าเกินไปจะทำให้อัตราเงินเฟ้อค้างสูงเป็นเวลานานและส่งผลต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้การแก้ปัญหาเงินเฟ้อยากขึ้น
กลับมาที่ประเทศไทย แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับสูงถึง 7.7% และคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นอีก แต่ไทยอยู่ในกลุ่มปรับดอกเบี้ยช้าและอยู่ในระดับต่ำมาก
ถามว่ายังมีประเทศอื่นอีกไหมที่ไม่ได้มีการปรับ
คำตอบคือ มี เช่น ญี่ปุ่นและธนาคารกลางยุโรป ที่ยังมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำกว่าไทย
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขเงินเฟ้อ ประเทศไทยมีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในกลุ่มที่ต่ำมากที่สุดในโลก สะท้อนถึงการปรับนโยบายการเงินของไทยที่ช้ากว่าโลก
KKP Research ประเมินว่าจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและนโยบายการเงินโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจะเริ่มทำให้ในช่วงหลังจากนี้การตัดสินใจนโยบายการเงินของคณะกรรมการนโยบายการเงินต้องให้น้ำหนักกับภาวะเงินเฟ้อและปัญหาค่าเงินบาทมากขึ้นเนื่องจากมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในความเสี่ยง 3 ประเด็น คือ
1. ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับประเทศในภูมิภาคกำลังจะกว้างขึ้น ซึ่งจะเริ่มมีแรงกดดันให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาคได้ บทเรียนที่สะท้อนให้เห็นชัดเจน คือ ประเทศญี่ปุ่นที่มีการประกาศชัดเจนว่าจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไปส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงมากที่สุดในรอบกว่า 24 ปี
2. การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอาจใหญ่และยาวกว่าที่คาด โดยในเดือนเมษายนและพฤษภาคมประเทศไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึงประมาณเดือนละ 3-4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำลังจะทำให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 2 ปีนี้เป็นการขาดดุลที่มีมูลค่าสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกตัวเลขในปี 2005 โดยเกิดจากทั้งนักท่องเที่ยวที่หายไป ต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้เพิ่มเติมหรือสะท้อนว่าเสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยมีความแข็งแกร่งน้อยลง
3. ความเสี่ยงในความน่าเชื่อถือของธนาคารกลาง เมื่ออัตราเงินเฟ้อเริ่มส่งผลต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อของคนในระบบเศรษฐกิจ การปรับอัตราดอกเบี้ยช้าในภาวะที่เงินเฟ้อสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้มาก โดยในปลายปี 2021 ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์เงินเฟ้อไว้เพียง 1.7% และปรับขึ้นต่อเนื่องจนเป็น 6.1% ในปัจจุบันซึ่ง หากตลาดมีความเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย behind the curve หรือปรับดอกเบี้ยช้าเกินไป จะส่งผลให้การดำเนินนโยบายการเงินทำได้ยากขึ้นมาก เพราะหากการคาดการณ์เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และการปรับดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดเงินเฟ้อและค่าเงินบาทจะต้องปรับแรงกว่าเดิมในตอนหลัง และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าการค่อย ๆ ปรับดอกเบี้ยขึ้นตั้งแต่วันนี้
ทั้งนี้ KKP Research มองว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.75% ในวันที่ 26-27 กรกฎาคม และการประชุม กนง. ของไทยในวันที่ 10 สิงหาคม ขึ้น 0.50%
และอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีขึ้นทีละ 0.25%
รวมแล้วอัตราดอกเบี้ยของไทยสิ้นปีจะอยู่ที่ 1.5% จากระดับปัจจุบันที่ 0.5%
ถามว่า เมื่อดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นแล้ว จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจของไทย
KKP Research มองว่ากระทบ 3 ช่องทาง คือ
1. ผลกระทบต่อครัวเรือน จากภาระหนี้ที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยและผลกระทบต่อการชะลอตัวในการบริโภคสินค้าคงทน เช่น บ้าน รถยนต์ ที่ต้องอาศัยสินเชื่อการบริโภค
2. การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอาจทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่องในตลาดการเงิน โดยเฉพาะความเสี่ยงในการออกพันธบัตรภาคเอกชนใหม่ที่ต้องออกในต้นทุนที่สูงขึ้น จนอาจเกิดการผิดนัดชำระหนี้
3. ผลกระทบต่อมูลค่าของสินทรัพย์โดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยง การดูดเงินออกจากระบบเศรษฐกิจจะเพิ่มเสี่ยงให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสปรับตัวลดลง และกระทบกับความมั่งคั่งของคนในระบบเศรษฐกิจได้
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงหลังจากนี้จึงนับเป็นช่วงที่มีความท้าทายอย่างมากและจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยในการหามาตรการเยียวยาผลกระทบที่เฉพาะเจาะจงกับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น และผลกระทบจากเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลงจากการปรับอัตราดอกเบี้ย
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ : https://advicecenter.kkpfg.com/th/money-lifestyle/money/economic-trend/bot-is-expected-to-increase-interest-rate