ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
ทำให้มีหลายสำนักวิจัยมองว่า ราคาน้ำมันกำลังเข้าสู่ขาลง (แล้ว)
เมื่อคืนที่ผ่านมาราคาน้ำมันทำระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน โดย
WTI อยู่ที่ราคา 98.5 เหรียญต่อบาร์เรล
Brent อยู่ที่ราคา 102.7 เหรียญต่อบาร์เรล
Dubai อยู่ที่ราคา 113.4 เหรียญต่อบาร์เรล
ถามว่าการที่ราคาร่วงแรงแบบนี้ สะท้อนว่านักลงทุนกำลังคิดอะไร ?
... ตอนนี้นักลงทุนกำลังกังวลอยู่ 2 ประเด็นด้วยกัน คือ
1. เศรษฐกิจมีแนวโน้มสูงมากจะเกิด Recession
2. การกลับมาปิดเมืองอีกรอบของประเทศจีน
ซึ่งทั้ง 2 อย่าง ชี้ไปที่ปริมาณการใช้น้ำมันอาจจะลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้นักลงทุนเทขายราคาน้ำมันร่วงหน้าลงมาก่อนเพื่อดูสถานการณ์
ฝ่ายวิจัยหลักทรักพย์เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่า ราคาน้ำมันน่าจะเริ่มผ่อนคลายช่วงครึ่งปีหลังจากการปรับตัวของ Demand และ Supply ที่จะค่อยๆเข้าสู่จุดสมดุลมากขึ้น
... คาดว่าราคาน้ำมันดูไบน่าจะอยู่ราวๆ 100 เหรียญต่อบาร์เรล ไปเฉลี่ยทั้งปี 2565
และจะลดลงมาอยู่ที่ 90 เหรียญต่อบาร์เรลในปี 2566
และลดลงมาอยู่ที่ 75 เหรียญต่อบาร์เรลในปี 2567
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ถ้าน้ำมันเข้าสู่ช่วงขาลงแล้ว มีหุ้นกลุ่มไหน ได้หรือเสียประโยชน์บ้าง ?
หุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ
กลุ่มโรงไฟฟ้า ... ต้นทุนเชื้อเพลิงลดลง
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ... ต้นทุนพลังงานลดลง
กลุ่มเช่าซื้อ ... เงินเฟ้อลดลง ความสามารถในการชำระหนี้ดูดีขึ้น
กลุ่มอาหาร ... ค่าขนส่ง ต้นทุนพลังงานลดลง
กลุ่ม Packaging ... ต้นทุนพลังงานลดลง วัสดุ-แผ่นฟิล์มแปรผันกับราคาน้ำมัน
ส่วนกลุ่มที่เสียประโยชน์ คือกลุ่มที่มีรายได้หลักอ้างอิงกับราคาน้ำมัน เช่น ธุรกิจสำรวจและผลิต ธุรกิจโรงกลั่น ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะบันทึก"ขาดทุน" จากการสต๊อกน้ำมัน
ถือว่าจะช่วยบรรเทาเงินเฟ้อได้ในช่วงนี้ถ้าราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลงจริงๆ
สอดคล้องกับเงินเฟ้อที่คาดว่าจะสูงสุดในเดือนสิงหาคมแล้วจะค่อยๆลดลง
สุดท้าย เหตุการณ์นี้มันก็จะผ่านไป ครับ
----------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส