ทิศทางราคาของสินทรัพย์เสี่ยงทุกชนิด คาดการณ์ได้ยากเสมอ รวมทั้งดัชนีตลาดหุ้น ซึ่งเป็นอะไรที่คาดการณ์การขึ้นลงของดัชนีได้ยาก นักวิเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือแม้แต่นักลงทุนรายย่อยอย่างเราๆท่านๆ ก็คงเคยทำนายทิศทางดัชนี แต่ผลลัพธ์ส่วนใหญ่ก็คงผิดบ้างถูกบ้าง แต่ส่วนใหญ่น่าจะผิดทาง
นักลงทุนสายวีไอ จำนวนไม่น้อย แม้ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นไม่เป็นใจ แต่ก็ยังคงทำผลตอบแทนเอาชนะตลาดได้ โดยไม่จำเป็นต้องคาดการณ์ดัชนีว่าจะขึ้นหรือลง ตราบใดที่นักลงทุนสามารถหาหุ้น Good Stock at Good Price หรือ หุ้นคุณภาพดีและราคายังถูกอยู่ ถ้าเจอเมื่อไหร่ก็ควรที่จะลงทุนต่อไปเรื่อยๆตามจำนวนเม็ดเงินหน้าตักที่มี
นอกจากนี้ จำนวนเม็ดเงินที่จะลงทุน จะมากหรือน้อย นอกจากขึ้นกับสภาพคล่องทางการเงินส่วนบุคคลและความเสี่ยงที่เรารับได้แล้ว ก็ควรขึ้นอยู่กับ “จำนวนหุ้นเป้าหมาย” ที่เราเจอ และ “ระดับความถูกน่าซื้อ” ของหุ้นเป้าหมายนั้น ยิ่งถูกมากก็ควรซื้อสะสมไว้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะเรามีความเชื่อว่า ราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของกิจการในระยะยาวเสมอ
ซึ่งนั่นหมายความว่า นักลงทุนต้องมีความอดทนพอสมควร เพราะในระยะสั้น หุ้น Good Stock and Good Price ที่เจอ ราคาที่ว่าถูกแล้ว อาจจะถูกลงได้อีก และย่ำที่ราคาถูกไปได้อีกนาน รวมทั้งปัจจัยการลงทุนระดับมหภาค Macro อาจจะไม่เป็นใจ ตื้อๆตันๆ ภาพรวมทั้งตลาดไม่ดี
ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นไม่ไปไหน ปัจจัยบวกแม้จะมีอยู่ แต่ปัจจัยลบก็มีมากไม่แพ้กัน หุ้นเป้าหมายก็ยังดูไม่ชัดเจน ทำให้คิดอะไรไม่ออก ไอเดียการลงทุนตื้อๆตันๆ ระหว่างนั้นนักลงทุนควรจะทำอย่างไรดี ?
ขอแนะนำให้อ่านหนังสือครับ
หนังสือในที่นี้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นหนังสือเป็นเล่มๆเท่านั้นนะ อ่านบทความบน Facebook อ่าน Website ข่าวการลงทุนในประเทศ ต่างประเทศ ฯลฯ ได้ทั้งนั้น เพื่อเพิ่มมุมมองใหม่ๆในการลงทุนมากขึ้น
หรือแม้แต่การหยิบเอาหนังสือการลงทุนเล่มเดิม ที่เราเคยอ่านจบแล้วมาอ่านซ้ำอีกรอบ ผมมั่นใจว่า เราจะได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมจากหนังสือเล่มเดิมครับ เพราะเมื่อหยิบเอามาอ่านในภาวะการณ์ลงทุนที่แตกต่างกัน ในช่วงตลาดกระทิง ตลาดหมี ตลาดไซด์เวย์ ต่อให้เราอ่านหนังสือเล่มเดิมๆ การตีความ มุมมอง และไอเดียที่เกิดขึ้นระหว่างการอ่าน สามารถต่างกันได้ แปรเปลี่ยนเป็นการตีความใหม่ และไอเดียการลงทุนได้มากมาย
ในช่วงที่เศรษฐกิจดี ตลาดหุ้นดี: เมื่อเราอ่านหนังสือเล่มเดิมๆ เราจะเลือกจับใจความเอาธุรกิจโตเร็ว ธุรกิจแห่งอนาคต ธุรกิจที่จะไป disrupt คนอื่น ซึ่งแม้กิจการจะไม่ได้มี track record มาก ไม่ได้แข็งแกร่ง หรือ ยังไม่มีกำไรหนา แต่เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่เติบโตเร็ว โดยเฉพาะการเติบโตของจำนวนลูกค้าผู้ใช้บริการ หรือรายได้ Top Line ราคาหุ้นจะไปได้เร็วและไกลมาก ลองนึกถึงรายชื่อหุ้นที่กองอีทีเอฟที่เน้นลงทุนใน Disruptive Technology ลงทุน นั่นคือตัวอย่างที่ชัดเจน
ในช่วงเศรษฐกิจแย่ ตลาดหุ้นแย่: เมื่ออ่านหนังสือเล่มเดิมอีกครั้ง ระบบความคิดของเราจะจับใจความสำคัญไปที่การมองหาสิ่งที่แน่นอน พึ่งพาได้ อย่างธุรกิจแข็งแกร่ง รายได้และกำไรไม่ลดลงแม้ในวิกฤต และยังสามารถเติบโตได้อยู่ ระบบความคิดเราจะกรองเอาหุ้นโตเร็วปีละ 30-50% ออกไป เราจะให้ความสำคัญกับคำว่า “อย่าขาดทุน” โดยเฉพาะความถูกแพงของหุ้น เน้น MOS ส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) และยังเน้นที่หุ้นปันผลสูง (4-5% ขึ้นไป) เอาไว้เผื่อกรณีต้องถือนานโดยราคาไม่ไปไหน
การอ่านหนังสือด้านการลงทุน ทั้งหนังสือเล่มใหม่และเล่มเดิม จะช่วยสร้างสรรค์และย้ำแนวคิดทางการลงทุนของเราให้ถูกต้อง และยังปรับเปลี่ยนตามช่วงเวลา โดยการคงหลักการวีไอที่เน้นคุณค่าไว้เหมือนเดิม