สถานการณ์โลกที่ผ่านมา ถือว่าไม่สู้ดีนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
1. การประชุม OPCE ครั้งล่าสุด มีมติการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น 50%
จากเดิม 432,000 บาร์เรล/วัน มาเป็น648,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งจะเริ่มในเดือนกรกฏาคมที่จะถึงนี้
ไม่สามารถทำให้ราคาน้ำมันลดลงได้ เนื่องจากนักลงทุนมองว่าความขัดแย้งรัสเซีย ยูเครน น่าจะยืดเยื้อต่อไปจนถึงสิ้นปีนี้

2. การส่งอาวุธของอเมริกาให้กับยูเครน
การที่สหรัฐอเมริกามีการส่งมอบอาวุธให้กับยูเครน เป็นการส่งสัญญาณแล้วว่า "ยูเครนอย่าไปยอม"
ในขณะที่รัสเซียพร้อมประกาศสงครามกับชาติตะวันตก หากอาวุธของอเมริกามาตกอยู่ในเขตแดนของรัสเซีย

ประเด็นนี้ทำให้นักวิเคราะห์ของวอลสตรีทมองว่า ความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้ม "เพิ่มขึ้น"
ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบทั้ง Brent และ WTI ดีดขึ้น 120 เหรียญ นั่นหมายความว่ายิ่งราคาน้ำมันสูง จะส่งผลให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นในอนาคต

เมื่อเงินเฟ้อพุ่ง ย่อมเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศการลงทุนในเดือนมิถุนายน

ฝ่ายวิจัยเอเชียพลัส วิเคราะห์ว่าถ้าราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้เงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมของไทยเพิ่มขึ้น 6.6%YoY
แต่ถ้าราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2% จะจะทำให้เงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมของไทยเพิ่มขึ้น 7.7%YoY
... โดยตอนนี้ตลาดคาว่าเงินเฟ้อน่าจะพุ่งขึ้นอยู่ที่ 5.7% YoY
ซึ่งถ้ามากกว่าที่ตลาดคาดจะเป็นปัจจัยกดดันให้ ธปท. ในการคงดอกเบี้ยนโยบายระดับต่ำที่ 0.5% และจะสร้าง Sentiment เชิงลบให้กับ SET Index ได้ในเดือนมิถุนายน
ซึ่งถ้า กนง. ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จะกดดันให้ SET Index ปรับตัวลดลงราวๆ 88 จุด

ฝ่ายวิจัยยังมีความเห็นอีกว่า ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ยืดเยื้อมาเกิน 100 วันแล้ว ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยกดดันให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ต้นทุนต่างๆไม่ว่าจะเป็นต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบสูงขึ้น เป็นการกดดันกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่อาจจะถูกปรับประมาณการลงได้

โดยภาพรวมแล้ว Sell In May เดือนเดียวอาจจะยังไม่พอ
สำหรับปีนี้ เราอาจจะต้อง Sell In June ด้วย
เพราะสาเหตุสำคัญคือเงินเฟ้อที่กำลังจะกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก นั้นเอง

------------------------------------------------
Reference

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส