อย่างที่ทุกคนรู้กันว่าปีนี้เป็นปีที่ราคาน้ำมัน "แพงมาก" โดยสาเหตุสำคัญมาจาก
ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย และยูเครน
เพราะรัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก และกว่า 60% ถูกส่งออกไปยังทวีปยูโรป
ซึ่งจากบทวิเคราะห์หลายๆแห่งต่างก็คาดกันว่า ... "น่าจะจบเร็ว และไม่ยืดเยื้อ"
แต่ผลปรากฏว่า สถานการณ์ยังดูเชิงและไม่น่าจะจบเร็วได้ ยังไม่มี Timeline ที่ชัดเจนว่าจะจบลงเมื่อไร รวมถึงประเด็นความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นของรัสเซียที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนักต่อท่าทีต่อประเทศสวีเดน และฟินแลนด์ที่พยายามจะเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม NATO
ดังนั้น เราอาจะเห็นราคาน้ำมันดิบยืนอยู่ในระดับสูงต่อไปเรื่อยๆ
ถามว่า สูงมากเท่าไร ?
ฝ่ายวิจัยเอเชียพลัส วิเคราะห์ว่า ...
ราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2565 น่าจะยืนอยู่ระดับ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2566 น่าจะยืนอยู่ระดับ 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2567 น่าจะยืนอยู่ระดับ 75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ประเด็นคือ ถ้าราคาน้ำมันดิบยืนอยู่ในระดับสูงแบบนี้ จะส่งผลต่อหุ้นกลุ่มน้ำมันในทิศทางไหน ?
คำตอบคือ ส่งผลในเชิงบวก โดยเฉพาะ PTTEP และ PTT
โดยฝ่ายวิจัยเอเชียพลัสวิเคราะห์ว่า "PTTEP"
ในปี 2565 ผลการดำเนินงานของจะโตประมาณ 61.8% yoy
ในปี 2566 ผลการดำเนินงานของจะ "ลดลง" ประมาณ 16.2% yoy
และสำหรับ "PTT"
ในปี 2565 ผลการดำเนินงานของจะโตประมาณ 6.5% yoy
ในปี 2566 ผลการดำเนินงานของจะ "ลดลง" ประมาณ 4.5% yoy
พูดง่ายๆ คือ ปี 2565 จะเติบโตดี และเริ่มลดลงในช่วงปี 2566 ตามราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ลดลง ...
แต่สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด อยู่ภายใต้สมมุติฐานว่า "ราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับสูง"
เรื่องของราคาน้ำมันดิบมีความผันผวนสูงมาก ราคาอาจจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมื่อราคาเปลี่ยนสถานการณ์ก็เปลี่ยน บริษัทที่มีผลประกอบการขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหมือนกัน
แถมท้ายอีกนิดว่า ...
สำหรับไตรมาส 1 ของปี 2565 ราคาน้ำมันดิบยืนเฉลี่ย 94.4 เหรียญต่อบาร์เรล
ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 7 ปี และดูท่าราคาน้ำมันดิบยังแพง ไม่น่าจะลดลงได้ง่ายๆ
ไม่แน่ว่าอาจจะลากยาวไปจนถึงปี 2567 ก็เป็นได้ครับ
---------------------------------------
Reference