ปัจจุบัน โลกกำลังเจอกับปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคมีน้อยลง
และโลกของเราก็กำลังจะเจอกับปัญหาวิกฤตอาหารโลก ซึ่งมีสาเหตุสำคัญ 3 ประการ คือ
1. ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน
2. ราคาปุ๋ยแพง
3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยเฉพาะอยางยิ่งเรื่องของราคาปุ๋ยที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ ..
รู้หรือไม่ ว่าราคาปุ๋ย (Fertilisers) ได้เพิ่มขึ้นมากว่า 69% สูงกว่าที่ World Bank คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นราวๆ 6% เท่านั่น
ไม่เพียงแค่นั่น ราคาพลังงาน +51% สูงกว่าที่ World Bank คาดจะปรับตัวเพิ่ม 2% ในปีนี้
... ราคาน้ำมันเพื่อใช้ทำอาหาร ปรับตัวเพิ่ม 30%
... ราคาเนื้อสัตว์ เพิ่ม 22%
... ข้าวสาลี เพิ่มขึ้น 20%
เมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้น ราคาก็ต้องเพิ่มขึ้น เกษตรกรแบกรับต้นทุนไม่ไหวก็ต้องเลิกปลูก เลิกผลิต ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนมากขึ้นกว่าเดิม ราคาอาหารก็แพงขึ้นเป็นทวีคูณ
คำถามคือ ถ้าเรากำลังเข้าสู่ยุคอาหารแพง เราในฐานะนักลงทุนควรจะมองเป็นโอกาส หรือความเสี่ยงกันแน่ ?
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่า ในยุคอาหารแพง จะหนุนให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น ยังมีกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นเหล่านี้อยู่
โดยฝ่ายวิจัยได้วิเคราะห์ออกเป็นกลุ่ม Soft Commodity แบบนี้ครับ
1. ราคาหมู, ราคาไก่ ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างเช่นราคาหมูทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากปัญหาสุกรขาดแคลน
รวมถึงราคาไก่ปรับตัวสูงขึ้นมากโดยเฉพาะในมาเลเซีย มองเป็นโอกาสต่อผู้ประกอบการไทย เช่น GFPT TFG CPF ที่อาจจะได้รับประโยชน์จากกลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น สิงคโปร์ ที่มาซื้อไก่จากไทย
2. กากถั่วเหลือง ราคาขึ้นมาสักพัก แต่ต้นเดือนที่ผ่านมาราคาปรับตัวลง 10% ทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง เป็นประโยชน์ต่อผู้เลี้ยงสัตว์ จะทำให้มาร์จิ้นเพิ่มสูงขึ้น (อาหารสัตว์ถูกลง ต้นทุนเลี้ยงถูกลง แต่ขายสัตว์ได้เพิ่มขึ้น มาร์จิ้นเพิ่มขึ้น)
3. ราคาน้ำมันปาล์ม เพิ่มสูงขึ้นมากโดยเฉพาะในอินโดนีเซียที่มีประกาศว่าจะระงับส่งออกน้ำมันปาล์มชั่วคราว (แต่ได้ยกเลิกไปแล้วในวันที่ 23 พฤษภาคม) แต่ราคาปาล์มก็ยังอยู่ในระดับสูงถือเป็นผลบวกต่อผู้ประกอบการน้ำมันปาล์ม เช่น UVAN UPOIC และ VPO
4. ราคาน้ำตาล ช่วงต้นเดือนมีการปรับเพิ่มขึ้นราวๆ 5% จากแนวโน้มว่าผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่อย่างบราซิลอาจจะจำกัดการส่งออกน้ำตาล ด้วยราคาที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อผู้ผลิตน้ำตาล เช่น KSL KTIS KBS และ BRR
5. ราคายาง ต้ังแต่ช่วงโควิดราคายางก็ปรับตัวสูงขึ้นมาตลอด รวมถึงในอินโดนีเซียเกิดปัญหาโรคใบร่วงทำให้ยางพาราออกสู่ตลาดน้อยลง ราคาจึงปรับตัวสูงขึ้น เป็นบวกต่อผู้ผลิต เช่น NER และ STA
จะเห็นได้ว่า ในวิกฤตก็มีโอกาสอยู่เหมือนกันครับ ...
----------------------------------------------------
Reference
reuters.com
ฐานเศรษฐกิจออนไลน์
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส