สองหุ้น "เปิดเมือง" ตัวใหญ่ ที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันมากในช่วงนี้
คือ หุ้นขนส่งมวลชน BEM และ BTS
ปูเรื่องสั้นๆ
-> BEM บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) คือ กิจการทางด่วนเส้นในเมือง และ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บวก สายสีม่วง
-> BTS บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) คือ กิจการรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว (กำลังสร้างสายสีเหลืองและสีชมพู) และยังทำตัวเป็น Holding Company เป็นแม่ VGI ธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน บัตร Rabbit Finance ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ U city และยังถือหุ้นกิจการอื่นๆอีกเยอะแยะเลย
หุ้นทั้งสองตัว โดนโควิด เข้ามา Hit อย่างหนัก มาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว
ถึงวันนี้...ถ้าไม่มีปัจจัยพิเศษใดๆ .... หุ้นทั้ง 2 ควรพร้อมกลับมาสร้างกําไรที่น่าพอใจอีกครั้ง หลังผ่านพ้นวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิดที่ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารรถไฟฟ้าลดลง และปริมาณรถวิ่งบนทางด่วนลดลง อย่างมีนัยสําคัญ
ปัญหาคือ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา หุ้นทั้ง 2 ตัวดวงยังตก เพราะต่างก็มีประเด็นค้างคา (overhang) เพิ่มเติมเป็นของตัวเอง
BEM… เจอโรคเลื่อนประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่หมายมั่นปั้นมือมานาน โครงการของรฟม. เป็นโปรเจคต์ใต้ดิน ถิ่นของ BEM และถ้าใครเคยขึ้นลง MRT สถานีศูนย์วัฒนธรรม จะเห็นวงกลมเตรียมขุดเป็นทางใต้ดินของสายสีส้มมาเนิ่นนานแล้ว และโครงการนี้ถ้าไม่เจอโรคเลื่อนก็ควรจะประมูลเสร็จตั้งแต่ปีที่แล้ว
BTS…เจอปัญหาที่ใหญ่กว่า คือความพยายามต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวเส้นหลัก (สายสุขุมวิทและสีลม) มีการเจรจาเรื่องหนี้สินกับกทม. และทางกทม.ตอนนั้น ก็ให้การสนับสนุนวิธีการต่อสัมปทาน 30 ปีเพื่อการแลกหนี้ก้อนใหญ่ แต่ติดปัญหาในขั้นตอนเข้าครม.นี่แหละจร้า เลยยังไม่ได้ต่อสัญญาสัมปทานซักที
มาถึงวันนี้ ดูเหมือน BEM จะไปไหว้พระแก้ชงมาแล้ว โดยเฉพาะเดือนพ.ค.
-> ปริมาณรถบนทางด่วนฟื้นเร็วมาก
-> ปริมาณผู้โดยสารสายสีน้ำเงินก็ฟื้นเร็วมาก
-> สายสีเหลืองที่กำลังจะ soft launch ปลายปีนี้ คือสาย feeder ที่จะพาลูกค้ามาเติมให้ BEM ที่สถานี MRT ลาดพร้าว
-> อีกไม่กี่สัปดาห์ กระบวนการประมูลสายสีส้ม รฟม.จะเริ่มเดินหน้า
-> และจะมีโครงการใหม่ สายสีม่วงใต้ ตามมาอีก
ราคาหุ้น BEM ก็ตอบสนองชัดเจนในเดือนพ.ค. ตามรูปเส้นสีฟ้า
เป็นหนึ่งในตัวแทนหุ้นเปิดเมือง ที่แทบทุกโบรคแนะนำในช่วงนี้
สวนทางกับราคาหุ้น BTS ที่นอกจากไม่ขึ้นตาม BEM แล้ว ยังลงจากแรงกดดันเรื่องสัญญาสัมปทาน ที่กทม.ในสมัยของผู้ว่าท่านใหม่ จะเป็นแบบไหนยังไม่รู้
ปัจจัยความไม่แน่นอนตรงนี้ถือว่ามีนัยยะ
คหสต. เชื่อว่า
1. หุ้นรถไฟฟ้าทั้งสองตัว มีอนาคตอยู่ ทั้งการฟื้นตัวไปสู่จุด Pre-Covid และการเปิดโครงการใหม่ๆ
2. หุ้นทั้งสองตัวนี้ ยังต่ำกว่า(laggard)จุดก่อนโควิดอย่างมีนัยสำคัญ การฟื้นตัวไปสูจุดก่อนเกิดโควิด เป็นเส้นทางแรกที่ผลประกอบการควรไปถึงให้ได้ ซึ่งต้องรอนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย ใช้เวลาเหมือนกัน
3. ปัจจัยเรื่องต่อสัมปทานของ BTS ก็คงจะใช้เวลาเช่นกัน ดูอย่างกรณีต่อสัมปทานทางด่วน BEM ตอนนั้น พยายามต่อสัญญาล่วงหน้ามานาน สุดท้ายก็ได้ต่อปีที่หมดสัมปทานเลย
นักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่ก็ต้องเข้าใจทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ของหุ้นด้วย
ไม่งั้นจะเครียดเกินไป โดยไม่จำเป็นนะ
แค่ตามข่าวในโซเชียลทุกวันนี้ ก็เครียดจะแย่แล้วจร้า