ไม่ใช่แค่อเมริกาที่จะเกิดภาวะถดถอย แต่เศรษฐกิจโลกเสี่ยงเข้าภาวะถดถอย ...

KBANK มองเศรษฐกิจโลกเสี่ยงเข้าภาวะถดถอย หลังเผชิญกับการแพร่ระบาดโควิด-สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน-การคว่ำบาตร ท่ามกลางเงินเฟ้อสูง พร้อมหั่นจีดีพีไทยปีนี้เหลือโต 2.9% จากเดิม 3.7%

นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยในงานสัมมนา Economic Outlook Thailand Forecast” ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกจากนี้ไปอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะชะลอตัวจนเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน และ การคว่ำบาตร ซึ่งสร้างแรงกดกันต่อภาวะอุปทาน และ ส่งผลให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว และ กระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ปรับตัวลง เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม การที่มีเงินเฟ้อสูงกว่าปกติได้กดดันให้ธนาคารกลางปรับให้นโยบายการเงินตึงตัว เพื่อลดกำลังซื้อและอุปสงค์ โดยตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 7-8 ครั้ง ซึ่งอุปสรรคที่เฟดจะปรับให้นโยบายการเงินตึงตัว คือ ภาวะหนี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับอดีต ทำให้มองว่าการที่จะขึ้นดอกเบี้ยโดยไม่มีผลข้างเคียงอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น

หากเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีก 7-8 ครั้ง ต้นทุนของเศรษฐกิจก็จะปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง เช่น ทุก ๆ การขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จะเพิ่มภาระหนี้ให้กับเศรษฐกิจราว 162,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และ ถ้าปีนี้ขึ้นดอกเบี้ยอีก 11 ครั้ง จะเพิ่มภาระหนี้ต่อจีดีพีอีก 7.4% ซึ่งจะเป็นการฉุดรั้งทางเศรษฐกิจมากขึ้น

ส่วนเศรษฐกิจไทยจีดีพีไตรมาส 1/65 ขยายตัวได้ 2.2% โดยได้รับอานิสงค์จากการผ่อนคลายมาตรการการแพร่ระบาดโควิด ซึ่งหลัก ๆ มาจากภาคโรงแรมและอาหาร แต่การเติบโตยังคงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค ขณะที่ธนาคารได้ปรับลดการเติบโตของจีดีพีลงเหลือโต 2.9% จากเดิมที่คาดโต 3.7% โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ จำนวนนักท่องเที่ยวว่าจะเดินทางเข้ามาถึง 4 ล้านคนในปีนี้ได้หรือไม่

สำหรับค่าเงินบาทสิ้นปีนี้คาดว่า จะอยู่ที่ 33.50 บาท/ดอลลาร์ จากภาคบริการที่ชะลอตัว และ เจอแรงกดดันจากข่าวเชิงลบจากจีน นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ และ การจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนไทย อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะช่วยสนับสนุนค่าเงินบาทในระยะถัดไป

นายภาสกร ลินมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีที่ยากของตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากปีนี้มีประเด็นลบในเรื่องของสงครามรัสเซียและยูเครน ราคาพลังงาน และ เงินเฟ้อ แต่ตลาดหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุน แม้จะเจอความเสี่ยง และความผันผวนจะเพิ่มสูงขึ้น

"การลงทุนในหุ้นในครึ่งปีหลังนี้อาจจะลดลง เพราะตลาดเกิดใหม่ที่มีคุณภาพสูงน่าสนใจมากกว่าตลาดเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว รวมถึงปีนี้เป็นปีของหุ้นวัฏจักร เช่น ธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะดีกว่าหุ้นกลุ่มเติบโต และ หุ้น Quality ที่มีปันผลสูง ก็จะดีกว่าหุ้น Momentum" นายภาสกร กล่าว

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดเป้า SET Index สิ้นปีนี้เป็น 1,650 จุด จากเดิม 1,680 จุด เนื่องจากผลตอบแทนอัตราพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวขึ้น และ เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ ขณะที่กำไรต่อหุ้น (EPS) ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และ การเติบโตที่ลดลงของจีดี