"ราคาหุ้นสะท้อนทุกสิ่ง ... "
นี้คือหัวใจหลักของ ทฤษฏีตลาดมีประสิทธิภาพ
Efficient Market Hypothesis คือ ทฤษฏีตลาดที่มีประสิทธิภาพ
กล่าวไว้ว่าหุ้นทุกตัวที่ซื้อขายอยู่ในตลาดทุกตัวเป็นราคาที่เหมาะสมอยู่แล้ว
"ไม่มีคำว่าถูกหรือแพง"
และการคาดเดาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย ...
หนังสือเรื่อง Random Walk Down on Wall Street บอกไว้ว่า การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นเรื่องที่มองได้ยาก การอ่านงบการเงินก็เป็นเรื่องของการตีความมากกว่า
... บางคนให้ความสำคัญกับกำไรสุทธิ
... บางคนให้ความสำคัญกับอัตราการเติบโตของกำไร
... บางคนให้มูลค่าของการปันผล
... บางคนให้น้ำหนักกับ P/E, P/BV
ด้วยหลักคิดที่แตกต่างกัน ทำให้คนกลุ่มเหล่านั้นที่อยู่ในตลาดรวมๆกัน เราจะได้ราคาที่เหมาะสมกันพอดี
ประเด็นเรื่องของกราฟเทคนิค
หนังสือแสดงความเห็นว่า เป็นกิจกรรมที่ "ไม่มีประโยชน์อะไรเลย"
เคยมีวิจัยได้ทำการทดลอง โดยเอาข้อมูลราคาหุ้นย้อนหลังมาพิสูจน์
และพบว่าราคาหุ้นเคลื่อนไหวไปอย่าง "ไร้ทิศทาง"
ราคาหุ้นของวันนี้ ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเมื่อวาน ..
เส้นกราฟราคาหุ้นไม่มีรูปแบบ หรือไม่มีแบบแผนที่แน่นอน
แนวรับ-แนวต้านไม่ได้มีอยู่จริง
หรือแม้แต่ Chart Pattern ก็เกิดจาก "จินตนาการ" ของคนดูกราฟเอง
เคยมีเรื่องเล่าว่า มีนักวิจัยทำการสุ่มเลขขึ้นมาหนึ่งชุด แล้วนำมาพล็อตเป็นกราฟแท่งเทียน
ให้ผู้เข้าทดสอบที่ชำนาญในกราฟเทคนิเคิลว่า "กราฟจะไปทางไหน"
ปรากฏว่าผู้เข้าทดสอบ มีความเห็นแตกต่างกันออกไป
"หุ้นมีโอกาสขึ้นได้ต่อ เพราะยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย"
"กราฟเป็น Head and Shoulder นั้นแสดงว่าราคากำลังจะลง"
"แท่งเทียนกำลังทดสอบแนวต้าน ราคาหุ้นกำลังจะลงให้ขายออกไปก่อนมารับที่แนวรับ"
หลังจากการแสดงความคิดเห็นแล้ว นักวิจัยคนนั้นออกมาเฉลยว่า กราฟที่เห็นเกิดจากการ "สุ่มตัวเลข" ของคอมพิวเตอร์ และเป็นการสุ่มที่ไม่มีแบบแผนมาก่อน
ดังนั้นการทดลองนี้จึงสรุปว่า ราคาหุ้นเป็นการเคลื่อนที่ไม่มีแบบแผน
ราคาหุ้นที่ปรากฏอยุ่ในตลาดเป็นราคาที่มีความเหมาะสมอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม มีนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก แสดงความคิดเห็นว่าตลาดหุ้นไม่มี
และไม่เคยมีประสิทธิภาพ พวกเขาสร้างความมั่งคั่งจากราคาหุ้นที่ผิดปกติเหล่านั้น
วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยแสดงความเห็นไว้ว่า ระยะสั้นตลาดหุ้นดุเหมือนจะเป็นตลาดทีมีประสิทธิภาพ
แต่ในระยะยาวแล้วตลาดไม่มีประสิทธิภาพ
ทุกคนจึงสามารถหาประโยชน์ได้จากความไม่มีประสิทธิภาพเหล่านั้น
แม้แต่ปีเตอร์ ลินซ์ ก็เคยพูดไว้ในหนังสือ One Up On WallStreet ไว้ว่า
ถ้าตลาดมีประสิทธิภาพ เขาคงมีอาชีพพนักงานทำความสะอาด แทนที่จะมาเป็นผู้จัดการกองทุน
พูดง่ายๆคือ เขาไม่เชื่อในเรื่องของความมีประสิทธิภาพ ในทุกๆช่วงเวลาของตลาดจะมีโอกาสอยู่เสมอ
อยู่ที่ว่าเราจะมองหามันเจอหรือไม่