เมื่อไม่นานมานี้ตลาดหุ้นไทยบวกได้อย่างน่าอัศจรรย์มากถึง 30 จุด ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า "ขาลงจบแล้ว" ใช่ไหม ?
บางทีการบอกว่ามันจบลงแล้วก็อาจจะเป็นการด่วนสรุปจนเกินไป เพราะเศรษฐกิจไทยมีปัจจัยที่ยังน่าห่วงอยู่โดยเฉพาะเรื่องของปัจจัยจากภายนอกประเทศ ซึ่งคอยกดดันอยู่ 2 ปัจจัยด้วยกัน คือ
1. สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ และดูเหมือนจะลามไปสวีเดนและฟินแลนด์ อีกด้วย
ความยืดเยื้อของสงครามทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่อสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น กระทบต่อค่าครองชีพและกำลังซื้อของคนทั้งโลก
สงครามรัสเซีย ยูเครน ยังไม่ทันจะจบ สวีเดนและฟินแลนด์ก็ประกาศตัวเข้าสมัครสมาชิก NATO ซึ่งทางรัสเซียถือว่าทั้งสองประเทศเป็นศัตรู และอาจจะกลายมาเป็นสงครามได้อีก
2. การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ
ถึงแม้ว่าการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางครั้งล่าสุดจะดูผิดคาดไปสักหน่อย เพราะขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดคากันเอาไว้
ทั้งนี้ ทางธนาคารออกมาบอกว่ามีแนวโน้มจะปรับเพิ่ขึ้นอีก 0.5% ในการประชุมสองครั้งถัดไปเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
และยังมีประเด็นเรื่องของการลดขนาด "งบดุล" ของสหรัฐ ทำให้เกิดการดึงสภาพคล่องกลับ ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก
แต่ก็ใช่ว่าจะมีประเด็นร้ายๆอย่างเดียว ...
ประเด็นในเชิงบวกก็มีเหมือนกัน นั่นคือ GDP ไตรมาส 1 โตราวๆ 2.2%yoy ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดเป็นเครื่องหมายแสดงว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดี การบริโภคยังดี ส่วนหนึ่งมาจากอานิสงค์เรื่องของการเปิดเมือง
เมื่อไม่นานมานี้ทางการเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของปี 2565 ปรากฏว่าขยายตัวได้ 2.2%
ซึ่งมากกว่าตลาดคาดเอาไว้ที่ 1.7% และตัวเลขนี้ถือว่ายังสูงกว่าไตรมาส 4 ของปีที่แล้วที่โตได้เพียง 1.9% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจฟื้นตัว การเปิดเมือง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การควบคุมโควิดของไทยทำได้ดี
... การลงทุนของภาคเอกชนโต 3.9% มาจากธุรกิจการท่องเที่ยว 29.1% การขนส่ง 4.2%
... การลงทุนภาครัฐ ขยายตัว 4.6%
... การส่งออกสินค้า ขยายตัว 12%
สำหรับไตรมาสที่ 2 ฝ่ายวิจัยเอเชียพลัสมองว่า กุญแจสำคัญคือการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และการทยอยเปิดเมืองจะทำได้ดีแค่ไหน ต้องรอดูกันอีกที
แต่สำหรับทั้งปี มีแนวโน้มว่าจะปรับลดลงได้อีก จากเดิมที่คาดว่าจะโต 3.5-4.5% เหลือเพียง 2.5-3.5%
-----------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เอเชียพลัส