เราเข้าใจตัวเองมากแค่ไหน?
เราชอบอะไร?
เราถนัดอะไร?
เรารู้จักตนเองจริงหรือเปล่า?
เชื่อว่าหลายๆ คนยังสับสน และตอบคำถามเหล่านี้กับตัวเองไม่ได้
วันนี้แม่โอ๋จะมาเมาท์เรื่องความสับสนของการรู้ และไม่รู้จักตัวเอง
แต่ใครที่ยังไม่ได้อ่านบทความแรกของแม่โอ๋ ที่เราอธิบายเรื่อง “ศาสตร์ลายผิวมือ” ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับและนำไปใช้กันในระดับสากล ไม่มู ไม่งมงาย สามารถตามไปอ่านได้ที่ >> https://bit.ly/3MONkI7
เรามาเริ่มกันที่ “ความฝัน” “ความชอบ” และ “ความอยาก”
อันนี้มาจากใจล้วนๆ ไม่ใช่ทักษะหรือความสามารถที่พ่อแม่ให้มา โดยความชอบ ความฝัน ความอยาก อาจเริ่มมาจากตอนเด็ก ได้ดูทีวี ได้ฟังใครพูด ได้รับความประทับใจ หรือได้รับความสะเทือนใจอะไรบางอย่าง
เมื่ออาทิตย์ก่อนแม่โอ๋ได้พาลูกๆ ไปดูหนัง Big Dream ที่ทำเพื่อ Inspire เด็กๆ ให้เกิดความฝัน
เรื่องน่าประทับใจมากๆ คือวิศวกรสาวที่ประสบความสำเร็จอย่างมากใน Seattle มีความฝันที่จะเป็นดารา นักร้อง จนอายุ 12 มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวในตุรกี เธอเห็นผู้คนมากมายรวมทั้งญาติเสียชีวิต ไร้ที่อยู่
หลังจากนั้นฝันของเด็กสาวอายุ 12 คือการสร้างตึกที่มีความยืดหยุ่นต่อแผ่นดินไหว และวันนี้เธอได้สร้างตึกและเป็นนักวิจัยเทคโนโลยีในการสร้างตึกที่มีความทนต่อแรงสั่นสะเทือนทั่วโลก ในกรณีนี้ ความฝันเปลี่ยน และฝันเป็นจริง เพราะเธอมีความสามารถด้วย
ซึ่งความสามารถหรือทักษะของวิศวกรท่านนี้ที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จ นอกจากความฝันและความอยากที่แรงกล้าแล้ว เธอต้องเป็นทั้งผู้สร้างสรรค์ ผู้วิจัย และผู้ให้ความรู้ คือเธอต้องมีตรรกะที่สูง มีความคิดสร้างสรรค์ มีทักษะในการคำนวณที่ดี และเธอผู้นี้ต้องมีทักษะในการสื่อสารที่ดีด้วย ทุกทักษะเหล่านี้จึงส่งเสริมความฝันของเธอให้เป็นจริง
บางคนที่อ่านถึงตรงนี้ลองถามตัวเองไหมว่า อาชีพในฝันของคุณคืออะไร?บางคนทำงานจนแก่แล้ว ยังไม่รู้เลยว่ามีความฝันอะไร อยากเป็นอะไร บางคนฝันอยากเป็น แต่ความสามารถมันไปไม่ได้ หรือเราอาจจะไม่ถนัด นั่นแหละเป็นที่มาของบทความวันนี้
สำหรับคนที่ไม่ได้มีความฝันอะไรเป็นพิเศษ การได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองถนัด หรือมีทักษะติดตัวมาแต่กำเนิด จะทำให้เราประสบความสำเร็จ หรือไปถึงฝั่งได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า
ดังนั้น การรู้จักความสามารถหรือสิ่งที่ตนเองถนัด จึงเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น เดี๋ยวเราจะมาดูกันว่า มันดี มันง่ายกว่าอย่างไร
แต่สำหรับคนที่มีฝันที่เคลียร์ การรู้จักความถนัดของคนเอง รู้จักสิ่งที่ตนเองต้องเสริม และรู้ว่าเราเรียนรู้ผ่านประสาทการรับรู้ด้านไหนได้ดี ก็จะช่วยให้เราเติมฝันของเราได้ง่ายขึ้น หรือทำให้ฝันเป็นจริงได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นไม่ว่าคุณจะมีฝันหรือไม่ การเข้าใจสมอง เข้าใจความสามารถหรือความถนัดของคุณ มันเป็นผลดีทั้งสิ้น และที่สำคัญ ยิ่งรู้เร็วยิ่งดี
การจะเข้าใจตนเองนั้นต้องมีการสังเกต และอาจต้องมีสถานการณ์ต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้คุณได้เห็น ได้เจอ และได้ลอง คุณถึงจะทราบว่าคุณถนัดทำสิ่งนั้นๆ หรือเปล่า หากคุณโชคดีที่ได้มีโอกาสในการลองทำหลายอย่าง จนรู้ความถนัดและไม่ถนัด คุณถือว่าเป็นคนที่โชคดีมาก
แต่หลายๆ คนอาจไม่ได้มีโอกาสที่จะได้ลองสิ่งที่เราไม่เคยทำ เลยไม่รู้ว่าเราทำอะไรได้ หรือไม่ได้บ้าง
แต่เราถอดรหัสสมองเราได้ค่ะ ซึ่งลายนิ้วมือกับสมองเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันอย่างไม่น่าเชื่อ
คุณคงเคยได้ยินคนพูดกันเรื่องสมองซีกซ้าย สมองซีกขวา แล้วคุณรู้ไหมว่านิ้วของเราแต่ละนิ้ว
ก็สามารถบอกการทำงานของสมองได้นะ
สมองซีกซ้าย คือส่วนของความเข้าใจ ตรรกะ ตัวเลข การคำนวณ ความจำ ภาษา การวิเคราะห์ต่างๆ
ส่วนสมองซีกขวา คือฝั่งของจินตนาการ รูปภาพความสวยงาม สีสัน ความรู้สึก การเชื่อมโยง
มาที่นิ้ว แต่ละนิ้วบอกอะไรได้บ้าง?
นิ้วโป้งทั้งสอง
บอกเรื่องราวเกี่ยวกับความรู้สึก เรื่องใจๆ ทั้งหลาย บางคนเป็นคนมุ่งมั่นเชื่อมั่นตนเอง บางคนเป็นคนที่แคร์ความรู้สึกคนอื่น บางคนเกิดมาก็มีน้ำใจห่วงคนอื่นเสมอ
นิ้วชี้
เป็นเรื่องของสมอง ไม่ใช่ความฉลาดแต่เป็นเรื่องของความคิด เช่น ตรรกะของความคิด การลำดับความคิดต่างๆ หรือความคิดสร้างสรรค์ การคิดต่าง ใครเคยมีแฟน หรือมีเพื่อนที่เราไม่เคยเข้าใจวิธีการคิดของเขาเลยไหม นั่นแหละนิ้วชี้เราบอกได้แหละ
นิ้วกลาง
เราสามารถดูความสามารถของการใช้ร่างกาย การขยับร่างกายจากนิ้วนี้ บางคนชอบมากกับการขยับร่างกาย ออกกำลังกาย ชอบแดนซ์ บางคนวาดภาพใช้มือหรือกล้ามเนื้อมัดเล็กได้อย่างดีเยี่ยม แต่บางคนชอบอยู่นิ่งๆ ไม่ชอบขยับร่าง บางคนไม่ได้ชอบเล่นกีฬา แต่ลองอะไรก็ทำได้ แต่บางคนชอบเล่นกีฬา แต่ต้องฝึกมากมายกว่าจะเล่นได้ดี
นี่เป็นตัวอย่างที่ดีอีกข้อหนึ่ง นักกีฬาแม้จะฝึกหนักเท่ากัน อาจเล่นได้ดีไม่เท่ากัน เพราะนั่นมาจากทักษะที่ติดตัวมาด้วย อันนี้เราขอเรียกสั้นๆ ว่า ต้นทุนที่พ่อแม่เราให้มาแต่ละคนในแต่ละเรื่องไม่เท่ากัน
นิ้วนาง
สื่อถึงการฟัง บางคนชอบฟังเพลง เรียนรู้ผ่านออดิโอ บางคนฟังแล้วผ่านไม่สนใจน้ำเสียงมากนัก
แต่ก็มีบางคนที่ เซ้นสิทีฟกับน้ำเสียงของคน เราอาจมีเพื่อนบางคนที่เซ้นสิทีฟกับคำพูดและน้ำเสียงมาก เราจึงควรระวังมากขึ้น นักร้อง ดีเจ นักดนตรี นักแต่งเพลง นักพากย์ ต้องมีหูที่ดีมาก และหากคุณทราบว่าคุณมีพรสวรรค์เหล่านี้แล้ว อาจทำให้คุณได้ทำอาชีพที่ใช้จุดเด่นคุณได้อย่างดีด้วย
นิ้วก้อย
สื่อถึงการมองเห็น ความช่างสังเกต การอ่านตัวเลขและกราฟ การวาดภาพ จิตรกร สถาปนิก รวมทั้งดีไซเนอร์ หรืออาชีพที่แนะนำการแต่งตัวต่างๆ เป็นการทำอาชีพที่สามารถใช้ทักษะส่วนบุคคลล้วนๆ
นักวิเคราะห์ต่างๆ ก็ต้องมีทักษะการใช้ตาที่ดีด้วย เชื่อไหมว่านักกฎหมายก็ต้องมีตาดี
ทักษะต่างๆ นี้ หากเราทราบจุดเด่นเรา แล้วหางานที่เหมาะมันก็ง่ายกับเรามากขึ้น หรือถ้าความฝันเราบังเอิญตรงกับจุดแข็งของเรา เราก็น่าจะประสบความสำเร็จง่ายขึ้น และเร็วขึ้น
คราวนี้มาลองดูว่า หากเราบังเอิญมีความฝัน หรือความชอบ ความอยากที่บังเอิญต้องใช้ทักษะที่ไม่ใช่จุดเด่นของเรา หากเรารู้และเข้าใจตนเอง ประโยชน์อยู่ตรงนี้ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาได้ ทักษะต่างๆ มาจากต้นทุนและการฝึกฝน หากเรารู้ก่อนว่าเราอยากเป็นอะไร เราขาดอะไร เราสามารถฝึกฝนทักษะต่างๆ ได้ สมัยนี้มีคอร์ส มีเวิร์กช็อปมากมายให้เราพัฒนา แถมเราไม่ต้องเสียเงินฝึกแบบเหวี่ยงแหด้วย
ครั้งหน้า เรามาคุยกันต่อเรื่องของลายผิวมือเพราะศาสตร์นี้มีดีเทลเยอะ และแม่โอ๋คิดว่าถ้าพวกเรารู้
มันมีประโยน์มากจริงๆ จะสามารถเป็นไกด์ชีวิตให้เราได้เลย
.
.
เรื่องโดย : แม่โอ๋ พรศริน เมธีวัชรานนท์