ผมมีช่วงเวลาติดดอย พอร์ตติดลบหนักๆล่าสุด เมื่อ 2 ปีก่อนนี้เอง นั่นคือ เดือนมีนาคม 2563
พอร์ตที่ใช้ซื้อขายในรอบสั้นกว่า1 ปี คือติดลบหนักตามตลาด ส่วนพอร์ตออมหุ้นที่เน้นสะสมหุ้นสร้างเครื่องจักรผลิตเงินสด กำไรที่สะสมมาก็หายกระทั่งติดลบบางๆเช่นเดียวกัน
มันคือช่วงวิกฤตโควิด 19 ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจาก 1600 ลงเหลือ 977 จุดภายใน 3 สัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม 2563 ตอนนั้นยอมรับว่ากลัวไม่น้อยเลย ความโชคดีคือเรายังมีเงินสดที่จัดไว้ตามวินัยอีกประมาณ 30% ของพอร์ต
คำถามใหญ่คือ ตอนนั้นใช้วิธีแก้เกมอย่างไร ?
คำตอบคือ ผมแสดงความไม่เห็นด้วยกับตลาดหุ้นด้วย “การซื้อ” ครับ
- ผมไม่เชื่อว่า ราคาน้ำมันดิบโลก จะถูกในระดับต่ำกว่า 20 USD/barrel กระทั่งติดลบในวันหนึ่ง .... จึงตัดสินใจซื้อกองทุน Oil Future ที่ราคาขึ้นลงตามทิศทางราคาน้ำมัน
- ผมไม่เชื่อว่า หุ้น Big Cap ใน SET50 ของไทยหลายๆตัว ราคาจะตกต่ำลงได้น่าเกลียดขนาดนั้น .... จึงตัดสินใจซื้อหุ้นทั้งสื่อสาร โรงไฟฟ้า ค้าปลีก สนามบิน ฯลฯ
ซื้อกระทั่งเงินสดเกือบหมดบัญชี
ผลลัพธ์คือ ในภาวะที่ตลาด crash อย่างรุนแรง นักลงทุนเลือกที่จะขายทิ้งทุกราคาเมื่อเกิดภาวะไม่แน่นอนที่ประเมินอนาคตไม่ได้ ทำให้หุ้นลงรุนแรงและรวดเร็ว ต้นทุนการเข้าซื้อที่ได้จึงค่อนข้างต่ำ ปลอดภัย และไม่มีจุดต่ำสุดใหม่หลังจากเดือนมีนาคมอีก ทำให้ขายกองทุน Oil Future ออกไปได้กำไรไวๆตั้งแต่กลางปี และยังถือหุ้น Good Stock ต่อไปได้ค่อนข้างสบายใจ
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ประเทศไทยถูกโควิดกระทบอย่างหนัก ทำให้ต้องถือหุ้น(ติดดอย)รออยู่นาน กว่าจะเริ่มโผล่พ้นน้ำได้ทั้งพอร์ตคือตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน 2563 ตั้งแต่มีการประกาศว่าค้นพบวัคซีนป้องกันโควิด ทำให้ปี 2563 เป็นปีที่ผลตอบแทนเสมอตัว และเป็นทุนรอนสำคัญที่ทำให้ปี 2564 คือปีที่สร้างผลตอบแทนได้มหัศจรรย์
ตัดภาพมาที่ปี 2565 เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ภาพใหญ่การลงทุนดูแย่ทีเดียว สงครามรัสเซียยูเครนที่ยืดเยื้อ ราคาน้ำมันและก๊าซที่แพง เงินเฟ้อขึ้นสูงแบบที่ไม่เคยเกิดมานาน
นำมาสู่การตัดสินใจ ใช้ยารักษาโรคเงินเฟ้อด้วยการขึ้นดอกเบี้ย และดูดสภาพคล่อง(เงิน)ออกจากระบบ โดยธนาคารกลางสหรัฐ(FED) เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่มันขึ้นสูงจริงๆในรอบหลายสิบปี
ซึ่งการทำแบบนี้ ถ้า FED ทำมากไป เท่ากับให้ยาแรงไป ก็จะทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเสี่ยงเข้าสู่การถดถอย Recession ค้าขายลำบาก ผู้คนตกงาน กิจการขาดทุน ผู้คนจะลำบากกว่าปัจจุบัน ที่อยู่กับภาวะเงินเฟ้อเสียอีก
และถ้าเศรษฐกิจอเมริกาเข้าสู่ภาวะถดถอย Recession นานๆ ตลาดหุ้นจะไม่ใช่ลงแบบ Correction ธรรมดา แต่จะลงแล้วซึมเศร้ายาวนาน เป็น Bear Market และแน่นอนว่าสหรัฐอเมริกาคือต้นธารของปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคในภาพรวม แนวทางต่อจากนี้ของ Developed Market ก็จะคล้ายกัน และแน่นอนว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อ Emerging Market รวมทั้งประเทศไทย
ถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะกลัวมาก อยากล้างพอร์ตหนี “วิกฤตRecession” รอบใหม่
ผมคิดว่า ไม่มีหมอคนไหนที่จะให้ยาแรง จนกระทั่งคนไข้ตายจากยา (แทนที่จะยังมีชีวิตอยู่ต่อได้) การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมันไม่ได้เป็นเส้นตรง แต่มันสามารถปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ได้ การรักษาสมดุลระหว่าง เงินเฟ้อ vs. เศรษฐกิจถดถอย ก็เป็นเรื่องสำคัญ
ลองนึกถึงวิกฤตโควิด ...ใครจะไปคิดว่า FED จะแก้เกมด้วยการลดดอกเบี้ยแบบสุดเหยียด พร้อมออก QE Infinity พิมพ์เงินอุ้มทุกสินทรัพย์ ทำให้ไม่เกิดการ Crash รุนแรงทั้งภาคธุรกิจและภาคอสังหาฯ ที่ FED เขาทำแบบนี้ก็เพื่อให้เศรษฐกิจอเมริกาไปได้ และต้องไปได้ดีด้วย
แต่ในช่วงต้นวิกฤตโควิด นักลงทุนก็พร้อมที่จะคิดถึง Worst Case ด้วยการขายหุ้นออกอย่างบ้าคลั่งก่อน ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปคือ เป็นการขายหุ้นหนีวิกฤตในราคาที่ไม่ควรขาย ดัชนีตลาดหุ้นทยอยกลับมาได้ภายใน 1 ปีเศษ
รอบนี้ การปรับขึ้นดอกเบี้ยและดึงเงินออกจากระบบ FEDเอง จำเป็นต้องทำเพราะเงินเฟ้อสูงจริง แต่จะทำจนกระทั่งเศรษฐกิจอเมริกาถดถอย GDP ลบติดๆกันหลายไตรมาส อันนี้ผมยังไม่เชื่อ
ในสภาวะตลาดไม่อำนวย ภาพใหญ่ไม่ดี ไม่ว่าหุ้นที่เราถือ จะคัดมาอย่างดีแค่ไหน ดูพื้นฐานมาเพียงไร ด้วยอานุภาพของภาพใหญ่ที่ย่ำแย่ เรายังคง “แพ้” ได้เสมอ แต่อาการแพ้ ติดดอยนี้ จะเป็นระยะสั้น ถ้าหุ้นที่เราเลือกเข้าพอร์ตดีจริง รายได้มา กำไรมี และเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆจริง การแพ้ การติดดอย จะเป็นเรื่องชั่วคราว ถ้าถือหุ้นได้ยาวพอ ถือข้ามรอบได้ มันจะทยอยกลับมาได้เอง
ในทุกๆวิกฤต ไม่ว่าจะน่ากลัวเพียงใดก็ตาม มันมีวันจบเสมอ และตลาดหุ้นก็มักจะ Overreact หรือ กระทำเกินกว่าเหตุ กับหุ้นบนกระดานเสมอ หน้าที่ของนักลงทุนคือ พยายามสร้างโอกาสในวิกฤตให้ได้ครับ