หลายๆครั้งเวลาเราไปซื้อหุ้นต่างประเทศ สิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะทำ คือ
1. ต้องเป็นหุ้นเทคโนโลยี
2. ต้องเติบโตสูงๆ
อาจจะเป็นเพราะ หุ้นไทยที่เป็นสายเทคโนโลยีและมีการเติบโตที่สูงๆหาได้ยากมาก
ถ้าเราไปต่างประเทศแล้ว ซื้อหุ้น"ทั่วไป" จะไปลงทุนเมืองนอกทำไม
มาซื้อหุ้นเมืองไทยก็ได้
ปี 2565 เป็นปีที่ไม่ดีเท่าไรนักสำหรับคนที่ไปลงทุนต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน ฮ่องกง เวียดนาม หรือแม้แต่อเมริกา
โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีต่างปรับตัวลงมาเยอะมาก
สาเหตุหนึ่งที่หุ้นเทคโนโลยีลงมาเยอะมาก คือ "ความคาดหวัง"
คาดหวังในเรื่องของการเติบโตที่สูงมาก ทำให้ราคาหุ้นเล่นกันแพงเกินไป
เมื่อการเติบโตไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง ทำให้ราคาหุ้นถูกเทขายลงมาอย่างหนัก
แต่เชื่อหรือไม่ว่าในตลาดอเมริกา หุ้นที่ดูเรียบง่ายกลับให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นเทคโนโลยี ซะอีก ...
หุ้นที่อยู่ในความสนใจ คือ Coca-Cola และ Kellogg
เป็นหุ้นที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี ธุรกิจเข้าใจได้ง่าย
ส่วนสาเหตุที่สนใจ อยากจะเล่าให้ฟังสรุปๆแบบนี้ครับ ...
1. Coca- Cola
มีใครบ้างไม่รู้จัก "โคคา โคล่า" คนอาจจะเข้าใจว่าโค๊กมีแค่ธุรกิจน้ำอัดลมอย่างเดียว แต่จริงๆแล้วเขามีเครื่องดื่มแทบจะทุกประเภท มีแบรนด์ในมือมากกว่า 200 แบรนด์ ทำรายได้มากกว่า 1.12 ล้านล้านบาท และกำไรสุทธิระดับ 2.67 แสนล้านบาท
การกระจายรายได้ของโคคา โคล่าทำได้ดี ไม่กระจุกตัวอยู่ในที่ใดที่หนึ่งมากจนเกินไป
... รายได้จากอเมริกาและแคนาดา ประมาณ 33%
... รายได้จากยุโรปและตะวันออกกลาง ประมาณ 17%
... เอเชียแปซิฟิก ประมาณ 13%
... อเมริกาใต้ 10%
... กิจการลงทุน ไปถือหุ้นร่วมลงทุน ประมาณ 6%
... ธุรกิจผลิตขวด 19%
ในสมัยก่อน "โคคา โคล่า" มักจะมีกลยุทธ์ในการทำธุรกิจอยู่ 2 อย่างด้วยกัน คือ
1. อัดโฆษณา ทำการตลาด เสียดสีคู่แข่ง
2. เน้นวอลุ่มให้ได้มากๆ
แต่หลายปีมานี้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปมาก รักสุขภาพมากขึ้น ดื่มน้ำอัดลมน้อยลง ทางโคคา โคล่าก็พยายามออกแบรนด์ใหม่ๆมากขึ้น ลดน้ำตาลลง หันมาใส่ใจสุขภาพและรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น
อีกทั้งมีการสำรวจว่าแบรนด์ไหนทำตลาดได้ดีก็จะเน้นแบรนด์ไปขายในประเทศนั้นๆ
การเติบโตของโคคา โคล่า ไม่หวือหวาเลย บริษัทพยายามรักษา Margin ให้อยู่ราวๆ 20%
และรักษาการเติบโตปีละ 10-15% ซึ่งบางปีก็พลาดเป้า บางปีก็ทำได้ตามเป้า
ที่น่าสนใจมากคื บริษัทจ่ายปันผลติดต่อกันมา 100 ปีแล้ว และมีแนวโน้มจะเพิ่มการปันผลมากขึ้นเรื่อยๆ
2. Kellogg
บางคนอาจจะงงว่าอะไรคือ "เคลล็อก" แต่ถ้าเราบอกว่านี้คือธุรกิจผลิตอาหารเช้า "เคลล็อก คอร์นเฟลกส์" อาหารเช้าธัญพืชแผ่นข้าวโพดอบกรอบ เชื่อว่าทุกคนต้องร้อง "อ่อ" อย่างแน่นอน
จะมีอะไรน่าเบื่อไปกว่าธุรกิจอาหารเช้าราดนม ที่แสนจะธรรมดา ... คงจะไม่มีอีกแล้ว
แต่เชื่อหรือไม่ว่าในความน่าเบื่อ กลับมีสิ่งที่น่าสนใจซ่อนอยู่
"เคลล็อก" ถือเป็นหุ้นโตช้า ที่โตปีละ 5-7% ทำให้ไม่ได้รับความสนใจมากเท่าไรนักในมุมของนักลงทุน
เพราะการซื้อหุ้นที่โตช้า หมายถึงสิ่งที่เราพอจะคาดหวังได้ คือ ปันผล
"เคลล็อก" มีการจ่ายปันผลอยู่ราวๆ 4-5%
ราคาหุ้นเคยทำจุดสูงสุดอยู่ที่ 80 เหรียญ พอเกิดวิกฤตโควิดทำให้ราคาหุ้นร่วงมาอยู่ราวๆ 50 เหรียญต่อหุ้น ประกอบกับเป็นธุรกิจที่ดูน่าเบื่อ โตช้า จึงไม่ได้มีความน่าสนใจมากสักเท่าไร
ผลประกอบการเต็มปีของปี 2564 บริษัททำผลประกอบการได้อย่างน่าเหลือเชื่อ โดยเติบโตที่ 8% ส่งผลให้ราคาหุ้นขึ้นมา
นักวิเคราะห์จากนิตยสาร Barror แสดงความเห็นว่า "เคลล็อก" เป็นธุรกิจที่เรียบง่าย แต่ดูน่าสนใจ ... เชื่อว่าครึ่งปีแรกของปี 2565 ผลประกอบการของบริษัทน่าจะเติบโตราวๆ 6-7% ถึงแม้จะโตช้า แต่ก็โตแบบค่อยเป็นค่อยไป
ปัจจุบัน บริษัทมี P/E อยู่ที่ 16 เท่า และอัตราปันผลอยู่ราวๆ 3.4% ...
นี้ก็เป็นตัวอย่างของหุ้นที่มีธุรกิจเรียบง่าย เข้าใจได้ง่าย เติบโตไม่หวือหวา
แต่กลับสร้างผลตอบแทนได้เหนือกว่าวอลสตรีทเป็นอย่างมาก