เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ปีนี้เป็นปีที่ "เงินเฟ้อ" สูงมาก
และหลายๆประเทศก็มีทีท่าว่าจะคุมไม่อยู่ ... โดยสาเหตุประการหนึ่งมาจากเรื่องของรัสเซีย - ยูเครน ที่ทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อสินค้าโภคภัณฑ์หลายๆอย่าง กระทบกับค่าครองชีพของคนทั้งโลก
และยังมีประเด็นของจีนในเรื่องของ Zero Covid การคุมเข้มโรคระบาดโดยการปิดเมืองอย่างเคร่งครัด ทำให้เกิด Supply Shortage ในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์
เมื่อไม่นานมานี้ตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนเมษายน 2565 ของไทยอยู่ที่ 4.65% yoy
... ถ้าดูจากสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาพลังงานที่สูงขึ้น รัฐยกเลิกการตรึงน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาดีเซลพุ่งขึ้นอยู่ราวๆ 31.94 บาทต่อลิตร
ยังมี LPG และค่าไฟฟ้า ก็หมดอายุการตรึงลง มีแนวโน้มจะทยอยปรับขึ้น กระทบต่อค่าครองชีพของผู้บริโภคอย่างแน่นอน
ทำให้มองว่าเดือนพฤษภาคม ตัวเลขเงินเฟ้อน่าจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าเดือนเมษายน ที่พุ่งขึ้นสูงอยู่แล้ว
ซึ่งการที่ "เงินเฟ้อ" ปรับขึ้นรุนแรงและเร็วของทั่วโลก ส่งผลลบทั้งในมุมของสินค้าที่สูงขึ้น และกดดันให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศอาจจะปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นได้ในอนาคต
แล้วประเทศไทยละ มีโอกาสที่จะปรับขึ้นหรือไม ?
คำตอบคือ มีโอกาสปรับขึ้น โดยอาจจะเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25%
คำถามต่อมา คือ จะกระทบกับตลาดหุ้นไทยมากน้อยแค่ไหน ?
ฝ่ายวิจัยเอเชียพลัส วิเคราะห์ว่า กนง. มีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยอีกราวๆ 0.25% ซึ่งถ้ามีการขึ้นดอกเบี้่ยจริงๆ จะทำให้ SET Index เกิดแรงเทขายลดลงอีกราวๆ 88 จุด
... และถ้าเราเจาะลึกลงไปอีก เป้าของดัชนีที่ 1,770 จุด - 1,800 จุด
หมายความว่า SET Index จะถูกปรับเป้าลงให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมราวๆ 1,680 จุด - 1,710 จุด
นักลงทุนอาจจะต้องเตรียมรับผลกระทบจากประเด็นนี้ไว้ด้วยครับ น่าจะเป็นสิ่งที่ตลาดให้ความกังวลในอนาคตอย่างแน่นอน
--------------------------------------------
Reference