ตลาดหุ้นอเมริกาถูกเทขายอย่างหนัก
หุ้นเทคโนโลยีหลายๆตัวลงภายในวันเดียวมากถึง 7-10%
ถ้าดูยอด YTD แล้วก็อาจจะตกใจได้ เพราะบางตัวร่วงไปกว่า 20-70%
อย่างเช่น หุ้นยอดนิยมอย่าง TESLA ร่วงไปแล้ว 30%
Microsoft คนไทยรู้จักอย่างดี ร่วงไปแล้วเกือบ 20%
Netflix ร่วงไปกว่า 70%
หรืออย่างหุ้นที่เปลี่ยนชื่อแล้วอย่าง Facebook เปลี่ยนไปเป็น Meta ก็ร่วงไปเกือบ 40%
คำถามแรก เกิดอะไรขึ้นกับอเมริกา
เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.5% มาสู่ระดับ 0.75% - 1.00% เป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่สองในรอบกว่า 3 ปี เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้นมาสูง และตลาดมองว่าจะเห็นการขึ้นดอกเบี้ยในอัตรา 0.5% ต่อไปได้อีกหลายครั้ง
... ต่อจากนี้เฟดจะเริ่มทยอยดึงสภาพคล่องออกจากระบบ (QT หรือ Quantitative Tightening) ตั้งแต่ 1 มิ.ย. เป็นต้นไป
ด้วยประเด็นที่กล่าวมา ทำให้นักลงทุนรู้สึกกันว่า อเมริกาอาจจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเฟดอาจควบคุมเงินเฟ้อไม่ได้
นอกจากนี้ประเด็นเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 และ 3 จะออกมาในทิศทางแบบไหน ซึ่งสื่อมองว่าอาจจะออกมาไม่ดีเพราะเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง
ทั้งนี้รัฐบาลสหรัฐฯรายงานการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกที่ -1.4% แย่กว่าที่คาดว่าจะขยายตัวได้ +1%
... ดังนั้นหากจีดีพีไตรมาสสองยังคงถูกกดดันจากเงินเฟ้อและปัญหาในยูเครน และหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สอง ก็จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ได้
คำถามที่สอง คือ ตอนนี้ใช่เวลาของการซื้อหุ้นอเมริกาแล้วหรือยัง ?
คำตอบ คือ ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาสม ...
ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย แสดงความเห็นว่า การใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น ส่งผลให้สภาพคล่องในระบบลดลง จะเป็นปัจจัยกดดัน valuation ของตลาดหุ้นโดยภาพรวม แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจจะฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากเงินเฟ้อที่เร่งตัว ส่งผลลบต่อแนวโน้มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคต
อีกทั้งยังมีตลาดหุ้นของภูมิภาคอื่นที่ระดับราคาและ Upside ที่น่าสนใจมากกว่าตลาดหุ้นอเมริกา
------------------------------
Reference
บทความโดย ฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.กสิกรไทย