เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา FED มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น 0.5% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 22 ปี
พอมีการประกาศว่าปรับขึ้น ดัชนีหุ้นทางฝั่งอเมริกาก็เขียวสดใส เพราะตลาดเกิดอาการ "กังวลมากเกินไป"
สาเหตุเป็นเพราะ สื่อวิเคราะห์ว่า FED อาจจะขึ้นดอกเบี้ยทีเดียว 0.75% ซึ่งถือเป็นการขึ้นเร็วและแรงจนเกินไป ส่งผลให้
1. สภาพคล่องไหลกลับเข้าตราสารหนี้
2. สงสัย FED จะกังวลว่าอเมริกาอาจจะเกิด Recession (ภาวะเศรษฐกิจถดถอย)
... แต่เมื่อลง 0.5% และ FED ยังเพิ่มเติมอีกว่าอเมริกายัง Solid Growth ระดับ 2%
คือ ดีกว่าที่คาด แต่แย่กว่าปีที่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ตลาดหุ้นอเมริกาเลยเขียวสดใส
แต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอเมริกา "ดิ่งลง" มาก ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ด้วย
สาเหตุที่หุ้นถูกเทขายอย่างหนัก เป็นเพราะนักลงทุนในวอลสตรีทวิเคราะห์ว่า FED ไม่สามารถคุมเงินเฟ้อได้ และการขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.5% ไม่เพียยงพอ เชื่อว่ามีโอกาสอีกที่ FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้
ท้ายที่สุดแล้ว ภายในสิ้นปีนี้ FED จะขึ้นดอกเบี้ยรวมๆ 2.75% ซึ่งถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรง เสี่ยงต่อการทำเศรษฐกิจอเมริกาถดถอย
อ่านมาถึงตรงนี้เราอาจจะสงสัยว่า แล้วเกี่ยวอย่างไรกับหุ้นไทย ?
อยากจะอธิบายสั้นๆแบบนี้ครับ ว่าการเพิ่มดอกเบี้ยของ FED สะเทือนต่อหุ้นไทยได้อย่างไร
1. ในเชิงบรรยากาศการลงทุน
เมื่อตลาดหุ้นถูกเทขายทั่วโลก ระดับ 3-5% ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนทางฝั่งเอเชีย รวมถึงหุ้นไทยให้ปรับตัวลงด้วยเช่นกัน
-----------------------------------------
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม : ทำไมเราต้องกลัว FED ขึ้นดอกเบี้ย ?
-----------------------------------------
2. การขึ้นดอกเบี้ยของ FED กดดันการขึ้นดอกเบี้ยของไทยด้วย
หลังการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของ FED ไม่นาน ทางฝั่งธนาคารอังกฤษ (BOE) ก็ประกาศขึ้นดอกเบี้ยตามไปด้วยอีกราวๆ 0.25% มาอยู่ที่ 1%
ถือเป็นการปรับตัวสูงสุดในรอบ 13 ปี ....
แสดงให้เห็นว่า ดอกเบี้ยเป็นแนวโน้มขาขึ้น
ซึ่งหนีไม่พ้นที่ธนาคารกลางของไทยอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วยเช่นเดียวกัน
บทวิเคราะห์เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่า กนง.อาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีกราวๆ 0.25% ในปลายปีนี้ กดดันให้หุ้นไทยถูกเทขาย
ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาการลดดอกเบี้ยลง 0.25% ส่งผลกระทบต่อหุ้นไทยร่วงราวๆ 88 จุด ...
3. การขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ FundFlow ไหลออกจากประเทศ
เป็นธรรมดาที่เงินจะวิ่งเข้าสู่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลกว่า (ราคาเหมาะสม ผลตอบแทนมากกว่า)
ซึ่งเราดูได้จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นสัญญาณของ Flow ไหลออก
สอดคล้องกับแรงเทขายของหุ้นไทยรวมถึงภูมิภาคเอเชีย
ในเดือนพฤษภาคม ตลาดหุ้นเปิดทำการ 2 วัน ต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้ววกว่า 59 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนมกราคม นักลงทุนต่างชาติยังยืนอยู่ในฝั่ง "ซื้อสุทธิ"
ราวๆ 3.63 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ถ้าเรามองในอีกแง่ คือ ซื้อเยอะ ก็ต้องมีการขายลดพอร์ตออกมาบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่ประเด็นที่ต้องติดตาม คือ การขึ้นดอกเบี้ยของ FED จะกดดันการขึ้นดอกเบี้ยของไทยด้วยหรือไม่