เป็นปีที่ไม่สวยงามสักเท่าไรนักสำหรับ STGT ธุรกิจถุงมือยางที่เคยเป็น "ดาวเด่น" ในช่วงโควิดที่ผ่านมา
แต่พอสถานการณ์โลกเริ่มกลับมาเป็นปกติ ทำให้ถุงมือเริ่มกลับมาเป็นปกติ ไม่ได้ขาดแคลนเหมือนเมื่อก่อน
ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับ "หุ้นวัฐจักร" ที่นักลงทุนควรจะเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง
ถามว่า ทำไมปี 2565 จะเป็นปีที่ยากลำบากของ STGT ในแง่ของผลประกอบการ
คำตอบ มีอยู่ 3 เหตุผลด้วยกัน คือ
1. มีคู่แข่งเพิ่มขึ้น และยังเป็นรายใหญ่โดยเฉพาะในจีนและมาเลเซีย
2. ราคาขายถุงมือยางลดลงอย่างมาก คาดว่าจะอยู่ราวๆ 0.82 บาทต่อชิ้น คิดเป็นการลดลงสูงถึง -64% YoY และ -25% QoQ
3. ถุงมือยางในกลุ่มไนไตรล์ ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง กลับลดลงอย่างมาก
จาก 3 ข้อที่กล่าวมา ทำให้ผลประกอบการในปีนี้ของ STGT ไม่สวยงามสักเท่าไร
... ถึงแม้ว่าปริมาณการขายของบริษัทจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมจากรายได้และกำไรที่หายไป
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เคทีบี วิเคราะห์ว่า ...
ในปี 2565 บริษัทจะมีกำไรสุทธิอยู่ราวๆ 2.72 พันล้านบาท (คิดเป็นการลดลง 89% จากปี 2665)
ในปี 2566 บริษัทจะมีกำไรสุทธิอยู่ราวๆ 2.48 พันล้านบาท (คิดเป็นการลดลง 9% จากปี 2665)
ซึ่งถ้าเราไปดูผลประกอบการย้อนหลังในปี 2564 จะพบว่ากำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 23.71 พันล้านบาท
ผลประกอบการในปี 2563 กำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 14.40 พันล้านบาท
กำไรแตะระดับ "หมื่นล้านบาท" มาเหลือเพียงหลักพันล้านบาท จึงไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นของ STGT ค่อนข้างแย่กว่าตลาด ...
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์มีมุมมองว่า STGT อยู่ในช่วงขาลงของการดำเนินธุรกิจ และยังไม่เห็นแนวโน้มของการฟื้นตัว จึงแนะนำ "ขาย" ให้ราคาเหมาะสมที่ 14 บาท อิง P/Bv ที่ 1 เท่า
ถือเป็นปีที่ยากลำบากของ STGT ที่จะต้องก้าวข้ามไปให้ได้ครับ
--------------------------------------------
Reference