#แนวคิดด้านการลงทุน

“ศาสตร์ลายผิวมือ” ไม่มู แต่จะนำไปสู่ชีวิตมั่งคั่งได้

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
88 views

สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ บทความนี้เป็นบทความแรกของแม่โอ๋ที่มาเขียนใน 2read คอลัมน์นี้แม่โอ๋อยากนำความรู้และประสบการณ์ในการบริหารเงิน  การวางรากฐานทางการเงินให้ครอบครัวและลูกๆ ทั้ง 2 ของแม่โอ๋มาแชร์ให้ทุกท่านเรียนรู้ไปด้วยกันค่ะ

 

เรื่องราวและความรู้ต่างๆ ในคอลัมน์นี้จะเป็นเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัว ผ่านการลองผิดลองถูก ปรับแต่งให้เข้ากับครอบครัวแม่โอ๋เอง อาจไม่ได้เป็นทฤษฎีจ๋า แต่เชื่อว่าจะพอเป็นแนวทางให้ทุกท่านลองเอาไปปรับใช้กันได้ค่ะ  ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลความรู้ที่เสริมให้กันได้ ก็อยากให้ร่วมกันคอมเมนต์เพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ผู้อ่านท่านอื่นได้เลยนะคะ

 

รู้จัก “ศาสตร์ลายผิวมือ”     
ไม่มู ไม่งมงาย แต่นี่คือสถิติศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลที่จะบอกตัวตนและเป็นเข็มทิศชีวิตได้

 

กลับมาที่หัวข้อแรกของเราค่ะ ที่แม่โอ๋เลือกที่จะแชร์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก เพราะแม่โอ๋มีความสนใจศาสตร์ลายผิวมือนี้อย่างมาก  เห็นประโยชน์มากมายของศาสตร์นี้ และคิดว่าถ้าเราเข้าใจ นำศาสตร์นี้มาใช้จริง นี่จะเป็นเข็มทิศชีวิตซึ่งส่งผลกระทบต่อการสร้างอาชีพ สร้างความมั่งคั่งของชีวิตได้

 

ดังนั้น แม่โอ๋จึงขอยกเรื่องนี้มาแชร์ก่อน ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างมีรายละเอียดเยอะมาก แยกได้เป็นหลายตอนเลย รับรองว่าสนุกและมีประโยชน์แน่นอน ขอให้ติดตามอ่านกันนะคะ

 

ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า “ลายผิวมือ” กับ “ลายมือ” นั้นแตกต่างกัน เพราะถ้าพูดถึงการดูลายมือเราจะนึกถึงพ่อหมอ แม่หมอ การทำนายทายทัก ตรวจดวงชะตา แต่ลายผิวมือเป็นการใช้ข้อมูลสถิติทางวิทยาศาสตร์ในการวิเคราะห์ล้วนๆ

 

ลายผิวมือของมนุษย์ทุกคนจะไม่ซ้ำกัน โดยลายผิวมือของเราถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เราอยู่ในท้องคุณแม่ และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต นั่นเป็นที่มาของการพิมพ์ลายนิ้วมือตอนทำบัตรประชาชน เพื่อเป็นการระบุตัวตนของแต่ละคน

 

คนสายมูจะรู้ว่าลายมือเปลี่ยนได้ อ่านกันที่ลายตรงฝ่ามือ แต่การวิเคราะห์ลายผิวมือ เราจะดูลายที่นิ้วมือ ความ Unique ของลายนิ้วมือนั้นเทียบเท่ากับ DNA เลยก็ว่าได้ เพราะมีหนึ่งเดียวเท่านั้นในโลก ในโลกใบนี้ไม่มีใครมีลายนิ้วมือซ้ำกันเลย แถมลายนิ้วมือยังมีหลายลาย แยกเป็นลายย่อย แต่ละนิ้ว โดยแต่ละลายก็มีความหมายที่ต่างกัน

 

ศาสตร์ลายผิวมือนี้ได้เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน โดยเริ่มต้นมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาในหน่วยงาน FBI ที่มีการเก็บลายผิวมือและใช้วิธีการทางสถิติศาสตร์ในการทำความเข้าใจผู้ต้องหา

 

ก่อนที่นักวิจัยต่างๆ ทั้งฝั่งยุโรปและอเมริกา รวมถึงเอเชียเริ่มนำข้อมูลดังกล่าวมาต่อยอด โดยศาสตร์ที่เริ่มเอาสถิติมาบอกลักษณะ นิสัย การเรียนรู้ จุดเด่น จุดด้อยของแต่ละคนนั้นถือว่ามีความลึกซึ้งละเอียดอ่อน และมีกระบวนการเก็บข้อมูล คิดคำนวณอย่างลึกซึ้ง 

 

ไต้หวันเป็นประเทศต้นกำเนิดที่นักศึกษาศาตร์ของเด็กปฐมวัยได้นำศาสตร์นี้มาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กๆ เพื่อให้สามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด  รวมทั้งนำมาช่วยแก้ปัญหาของเด็กๆ และช่วยพ่อแม่ในการเลี้ยงดูส่งเสริมลูกให้ถูกทาง ถูกจริตของลูก

 

ต่อมาก็มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในการหาบุคลากร  การวางแผนเพื่อเลื่อนตำแหน่ง การสลับตำแหน่งของผู้บริหารในบริษัทใหญ่ๆ  แล้วก็เริ่มใช้ไปจนถึงการแก้ปัญหาครอบครัว ช่วยให้สามีภรรยาเข้าใจตนเอง เข้าใจอีกคนหรือยอมรับกันและกันได้ง่ายขึ้น 

 

ในประเทศไทยมีการนำศาสตร์ลายผิวมือเข้ามาใช้เกือบ 20 ปีได้แล้ว  โดยคนแรกๆ ที่นำเข้ามาคือแบรนด์ใหญ่อย่างเครือซีพี และ Minor Group ใครบ้างจะรู้ว่าบริษัทฝรั่งนี่แหละที่เชื่อมั่นในศาสตร์นี้  ซึ่งปัจจุบันในไทยเอง ศาสตร์ลายผิวมือก็เป็นที่นิยมและแพร่หลายอย่างมาก

 

ทุกวันนี้ HR  Consultant หรือ Coach ต่างใช้ศาสตร์นี้ในการเลือกคน ทำงาน ช่วยให้บริษัทได้คนที่ตรงกับงาน และลดอัตราการลาออก รวมถึงใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผน การฝึกอบรม และการแก้ปัญหาบุคลากรในองค์กร 

 

ส่วนการนำไปใช้กับเด็ก ในไทยเองก็ได้รับความนิยมจากผู้ปกครองและสถานศึกษาอย่างมาก มีทั้งดารานักแสดง ผู้บริหาร หรือคนทั่วไปพาลูกๆ มาวิเคราะห์ลายผิวมือกันจำนวนมาก รวมทั้งโรงเรียนอนุบาลมีชื่อทั้งหลาย ก็นำศาสตร์ลายผิวมือนี้ไปใช้ในการสอนและสื่อสารกับเด็กๆ ด้วยเช่นกัน

 

ทำไมลายผิวมือ ถึงมีประโยชน์ได้มากขนาดนั้น? แล้วลายผิวมือบอกอะไรได้บ้าง?

 

เหตุผลก็เพราะลายผิวมือนั้น  มีความสัมพันธ์กับสมองแต่ละส่วน ลายบนนิ้วแต่ละนิ้วสามารถบอกถึงความถนัดของแต่ละคนได้ เพราะสมองแต่ละซีกสั่งการทำงานในคนละด้าน  เพียงแต่เราไม่สามารถเห็นลายหยักในสมองของเราได้ง่ายๆ

 

ดังนั้น การเข้าใจศาสตร์ลายผิวมือซึ่งเหมือนเป็นลายแทงของสมองแต่ละส่วนทั้งสองซีก จึงเหมือนเป็นการสแกนสมองโดยไม่ต้องเข้าเครื่องซีทีสแกนเลย แต่สามารถช่วยบ่งบอกถึงพรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดได้อย่างแจ่มแจ้ง (Inbond Talent)

 

รู้แล้วได้อะไร รู้แล้วเอาไปทำอะไรได้ รู้แล้วช่วยอะไรได้บ้าง... 

 

คราวนี้มาดูกันว่าคนที่ยอมเสียเงินเพื่อวิเคราะห์ หรือองค์กรต่างๆ ที่เลือกนำศาสตร์นี้เข้าไปใช้  น่าจะช่วยให้เขารู้เรื่องอะไร และได้ประโยชน์อะไรกันบ้าง

 

สแกนลายนิ้วมือบอกนิสัยพื้นฐานได้  เช่น บางคนเป็นคนมุ่งมั่นในตนเอง มีความมั่นใจสูง บางคนหูดี บางคนตาดี บางคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ บางคนไม่ชอบสุงสิงกับใคร  

 

สิ่งเหล่านี้คุณเคยสงสัยไหมว่ามีที่มาจากไหน เพราะนิสัยต่างๆ ของแต่ละคนนี้เกินครึ่งมาจากตัวตนของตนเอง ไม่ใช่มาจากการเลี้ยงดู หลายครั้งถึงแม้เป็นพี่น้องคลานตามกันมา มีพ่อแม่และอยู่ในครอบครัวเดียวกัน  แต่กลับมีนิสัยที่ต่างกัน   

 

ศาสตร์นี้น่าจะช่วยให้คุณหายสงสัยและได้คำตอบ  เพราะแม้การเลี้ยงดูจะมีความสำคัญ แต่ทุกคนล้วนมีตัวตนเป็นสารตั้งต้นของตัวเองมาก่อน 

 

การเรียนรู้ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนฟังแล้วเข้าใจ บางคนต้องอ่าน แต่บางคนอ่านแล้วข้อความตกหล่น หายทั้งบรรทัดบ้าง หายตรงข้อความสำคัญบ้าง บางคนเห็นตัวเลขเห็นกราฟทีนี่เข้าใจเลย วาดภาพออกมาเป็นฉาก บางคนขอเป็นตัวเลขในแบบตาราง บางคนบอกว่าเล่าสรุปมาให้ฟังหน่อย  

 

เหล่านี้แหละ...ลายผิวมือล้วนบอกได้ ว่าประสาทสัมผัสการเรียนรู้แบบไหนคือส่วนที่คุณถนัดที่สุด

 

คราวนี้เรามาดูประโยชน์ในการเอาไปใช้งานใน 2 กลุ่มหลักกัน

 

กลุ่มผู้ปกครอง >> 

ถ้าเราเข้าใจว่าลูกเก่งหรือด้อยตรงไหน เราก็จะสนับสนุนได้ถูก  ขอย้ำว่าหากเป็นจุดด้อย แต่ถ้าเราพัฒนาให้ถูกทาง จุดด้อยนั้นก็อาจจะไม่ได้เป็นปัญหา  แน่นอนเราอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนจุดด้อยให้เป็นจุดเด่นได้  เพียงแต่เราสามารถทำให้ไม่กลายเป็นจุดด้อยจนสร้างความลำบาก (อันนี้เราช่วยลูกได้แน่นอน)

 

บางคนมีความฝัน มีความพยายามอย่างมากที่สุด ซึ่งก็ทำได้ดี แต่ทำไมไม่เคยไปถึงจุดที่สูงสุดได้ พอมาสแกนลายมือผิวจึงได้รู้ตัวเองว่าสิ่งนั้นไม่ได้เป็นจุดเด่นของตัวเอง  แต่ที่ทำได้ดีเพราะฝึกฝน เพราะพยายาม ซึ่งเราก็จะไม่โทษตัวเอง เพราะขนาดไม่ใช่จุดเด่นเรายังทำได้ดีขนาดนี้ได้ เราต้องภูมิใจในตัวเองนะ  แล้วถ้าได้ฝึกฝน ได้พัฒนาในสิ่งที่เป็นจุดเด่นของเราอยู่แล้ว เราจะทำได้ดีขนาดไหน

 

ขอยกตัวอย่างนักกีฬาเยาวชนทีมชาติของไต้หวัน เขาได้ที่หนึ่งในการแข่งขันโรงเรียนระดับภูมิภาค จึงเลือกเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับนักกีฬา และมีความมุ่งมั่นที่จะติดทีมชาติชุดใหญ่ให้ได้  แต่แม้จะพยายามเท่าไร เขาก็ไม่เคยได้เข้าเป็นตัวจริงในทีมชาติ  เกิดความท้อแท้ในตัวเอง รู้สึกกดดัน จนได้มีโอกาสมาทำสแกน จึงเพิ่งรู้ว่าเขาไม่ได้มีจุดแข็งเรื่องการเล่นกีฬาเลย มันทำให้เขาเปลี่ยนทัศนคติต่อตนเองจากการโทษตนเอง เป็นการยอมรับและภูมิใจในความพยายามที่มาได้ไกลขนาดนี้

 

นอกจากนี้หากเป็นเด็กเล็กหรือเด็กวัยเรียน การสื่อสารในรูปแบบที่เด็กๆ เข้าใจ หรือเหมาะกับการเรียนรู้ จะทำให้ประหยัดทั้งเวลาและเงินทอง  

 

อีกทั้งช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้อะไรได้ง่ายขึ้น เด็กบางคนชอบให้โอบกอด บางคนไม่ชอบเสียงดัง บางคนไม่ชอบให้คนแปลกหน้าโดนตัว  สิ่งเหล่านี้ถ้าเรารู้เร็ว จะช่วยเรื่องการเลี้ยงดูได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาทะเลาะกับลูก มีพ่อแม่หลายคนชอบบอกว่าลูกดื้อ ลูกมีปัญหา

 

แต่จริงๆ แล้วปัญหาคือพ่อแม่นั่นแหละไม่เข้าใจเขา  แล้วเอาตัวเอง เอาลูกเพื่อน เอาหลานมาเป็นบรรทัดฐานในการเลี้ยงดู   หรืออาจจะหลงลืมไม่มีเวลาสังเกตลูก หรือปล่อยให้ความรักความห่วงใยบังตาอยู่   ถ้าเราเข้าใจศาสตร์นี้ ย่อมช่วยพ่อแม่และลูกๆ ได้ 

 

สำหรับเด็กโต พ่อแม่มักมีฝัน เด็กบางคนไม่มีฝันก็ทำตามฝันพ่อแม่ แต่เขาอาจทำได้ไม่ดี หรือไม่ชอบ  พยายามเท่าไรก็ทำไม่ได้ แล้วอาจถูกสรุปว่าเป็นเด็กโง่  ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาแค่ไม่ถนัดสิ่งนั้น   เด็กบางคนมีฝันตั้งแต่เด็ก

 

หากพ่อแม่ทราบว่าทักษะของอาชีพในฝันลูก ดันเป็นจุดด้อยของเขา เราก็เน้นการพัฒนาให้เขาตั้งแต่เด็กไปเลย เนื่องจากความสามารถมาจาก  Inbond Talent & Practice  Experience การรู้ตัวตน ทักษะที่ชำนาญ จึงอาจเป็นทางลัดสู่ความสำเร็จของเด็กน้อยได้ ในฝั่งของพ่อแม่ก็ช่วยได้ทั้งการบริหารความคาดหวัง และประหยัดเงินที่ต้องใช้เพื่อให้ลูกได้ลองเรียนด้านต่างๆ  จนกว่าจะค้นพบสิ่งที่ถนัด

 

กลุ่มผู้ใหญ่ >>

คราวนี้มาดูในกลุ่มผู้ใหญ่กันบ้าง  ทำไมองค์กรใหญ่ๆ จึงนำศาสตร์นี้เข้ามาช่วย เพราะทฤษฎีงานบุคคลที่ถูกเสมอไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร คือ วางคนให้ถูกกับงาน บางคนเหมาะกับการเป็นผู้บริหาร มีลูกน้องได้

 

บางคนเก่งมากแต่บริหารคนไม่ได้ มีคนรู้จักของแม่โอ๋เป็นฝรั่ง ทำการเงินบัญชีเก่งแบบ เข้าบริษัทไหนไม่เกินปีก็ได้โปรโมตเป็นผู้จัดการ  แต่ที่งงหนักกว่านั้นคือพอได้เป็นผู้จัดการไม่เกินปี ก็มักถูกไล่ออกเสมอ แล้วเขาเจอแบบนี้มาสามถึงสี่ครั้ง  

 

สุดท้ายจึงลาออกมาเป็น Consult  รับทำด้านตรวจสอบบัญชีให้บริษัทต่างๆ มากมาย เน้นทำคนเดียว ไม่มีลูกน้อง ใช้แค่ความรู้ส่วนบุคคล  ปรากฏว่าทุกวันนี้งานเขารุ่งเรืองมาก

 

นอกจากนี้การบริหารคน บริหารทีม ทำให้แต่ละฝ่ายไม่ทะเลาะกัน สามารถวาง Career Path หรือ Career Development ได้   สิ่งเหล่านี้เป็นต้นทุนที่บริษัทต้องจ่าย แต่จ่ายอย่างไรให้คุ้ม ทำอย่างไรให้คนไม่ตีกัน ทำงานกันไปนานๆ อย่างมีความสุข ไม่ลาออกบ่อยๆ  ฝ่ายบุคคลจึงนำศาสตร์ลายผิวมือนี้เข้ามาใช้ช่วยวางแผนตรงนี้

 

ใครที่ยังไม่คุ้นเคยกับศาสตร์นี้มาก่อน อาจนึกไม่ถึงใช่ไหมว่า ลายนิ้วมือทั้งสิบของเรามันก็คือเครื่องสแกนสมองเราดีๆ นี่เอง

 

อ้อ... แต่ต้องบอกก่อนนะว่าลายผิวมือไม่บอกลายหยักสมองนะ ถ้าใครบอกว่าใช้วัด IQ ได้ อันนั้นไม่ถูกต้องแน่นอน และศาสตร์นี้เขาใช้เปรียบเทียบแค่กับตนเองเพื่อพัฒนาศักยาภาพ  แต่ไม่ใช่การเอาตัวเลขมานั่งวัดเพื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นนะ

 

เดี๋ยวครั้งหน้าเรามาทำความรู้จักลายแต่ละลายบนนิ้วแต่ละนิ้ว และความหมายของลายต่างๆ กันค่ะ ใครไม่อยากพลาดบทความดีๆ  จากแม่โอ๋   กดติดตามคอลัมน์นี้  และ LINE 2read กันไว้นะคะ >> https://lin.ee/0pXeNd5 

 

เรื่องโดย แม่โอ๋ พรศริน เมธีวัชรานนท์

 

สมัครสมาชิก คลิก  https://2read.digital/#login


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง