หุ้น Big Cap ตัวใหญ่ ที่เราเคยรับรู้กันมาว่า
เป็นหุ้นสามัญประจำบ้าน มีความเสถียรด้านราคา พอจะคาดเดางบการเงิน หรือ valuation ได้ ... อาจจะยังใช้ได้กับหุ้นไทย ที่อยู่ใน Old Economy
แต่ไม่ใช่กับหุ้นเทคโนโลยี ...
เพราะต่อให้เป็น Big Cap แต่หากเป็นหุ้นเทคฯ new economy แบบ Tesla Amazon Netflix ฯลฯ ราคามันจะผันผวนได้มาก
คือหุ้นพวกนี้ราคาเหวี่ยงเกิน 10% ในวันเดียวได้เลย หากมีข่าวมาสะกิด เช่น outlook ไม่ดี , EPS missed, หรือแม้แต่เจ้าของจะไปซื้อกิจการใหม่
และเช่นเดียวกันกับหุ้นเทคโนโลยีจีน
ต่อให้ดี1ประเภท1 อย่างหุ้น Alibaba และ Tencent ซึ่งเป็นหุ้นใหญ่ในตลาดฮ่องกง ราคาหุ้นก็สามารถเหวี่ยง "ได้เสีย" แบบไม่มีอะไรกั้น ยังไม่ต้องมีงบออก บริษัทไม่ต้องให้ข่าวอะไรเล้ย
ข่าวโควิดจีน ปิดเมืองโหด ... อ่ะ ลงแดงก่ำ
ข่าวร้าบานจีน จะสนับสนุน ... อ่ะ ขึ้นเขียวจัด
ผมพบว่า การจะถือหุ้นเทคให้อึดได้ เราต้องมีภาพอนาคตที่เชื่อมั่นมากๆ ว่ากิจการนี้ดีจริง จะต้องเติบโตอีกเป็นหลายเท่าตัวใน ให้เวลากัน 5-10 ปี ไปเลย
ปัจจัยเชิงคุณภาพ (growth, moat, competitive advantage, etc ) ที่จะมีผลต่อการเติบโตระยะยาว สำคัญกว่าปัจจัยเชิงปริมาณ พวกตัวเลข งบ อะไรต่างที่เป็นปัจจุบัน ซะอีก
และจะดียิ่งขึ้น ถ้าเราซื้อหุ้นเทคแบบไม่ไล่ราคา ... สัญญากับตัวเองว่า จะจั่วเฉพาะตอนที่มันปรับตัวลงอย่างน่าเกลียดเท่านั้น
ประสบการณ์ลงทุนหุ้นเทคโนโลยี 2 ปี ผมเริ่มมองเห็นความจริงที่คุณป้าเคธี่บอก
ว่าให้มองระยะยาว 5 ปีอัพ กับหุ้นเทคฯ แม้ว่ากับชื่อหุ้นบางตัวใน ARK ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยซักเท่าไหร่ แต่โดยหลักการเรื่องการให้เวลากับ disruptive technology นี่คุณป้าพูดถูก
ในภาพรวม เชื่อว่าปี 2022 หุ้นเทคฯย่อมา คือโอกาส แต่ต้อง slowly buy in นะ เพราะดอกเบี้ยจะขึ้นอีกหลายครั้งตลอดปีนี้
ที่สำคัญคือ หุ้นเทคที่ซื้อ ต้องมีอนาคตที่ดีด้วยในเชิงพื้นฐาน แพลตฟอร์มที่ยึดครองตลาดได้ แบบ อีคอมเมิร์ซ บริการคลาวน์ ระบบชำระเงิน ฯลฯ พวกนี้มีความผูกขาดและกินขาด อุ่นใจถือยาวถึงอนาคตได้อยู่