#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

ทำไม SABINA ถึงไม่โดนกระทบมากจากสภาวะเงินเฟ้อ

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
99 views

การลงทุนในสภาวะเงินเฟ้อสูง "ไม่ใช่เรื่องง่าย"
เพราะต้นทุนของบริษัทแทบจะเพิ่มขึ้นเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น

- ราคาน้ำมัน
- ค่าคนงาน
- สินค้าโภคภัณฑ์
- ดอกเบี้ยจ่าย
เรียกได้ว่าต้นทุนการดำเนินงานขึ้นเกือบทั้งหมด อย่างเช่นราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น อาจจะส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นราวๆ 15-20% ได้เลยทีเดียว

แต่คงไม่ใช่สำหรับ SABINA ผู้ผลิตสินค้าชุดชั้นในสตรี ที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
ถามว่า ทำไม SABINA ถึงไม่โดนกระทบมากจากสภาวะเงินเฟ้อ
ตอบแบบสั้นๆ คือ บริษัทสามารถควบคุมรายจ่ายได้ดี และมีอำนาจในการต่อรองด้านราคาวัตถุดิบที่สูง ทำให้ได้ราคาที่ถูกลง

แต่ถ้าจะให้เล่าภาพแบบยาวๆ ... อยากจะเล่าให้ฟังแบบนี้ครับ
1. บริษัทใหญ่พอที่จะต่อรองราคาวัตถุดิบได้สูง
SABINA เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมชุดชั้นในของประเทศ ทำให้มีอำนาจในการต่อรองด้านราคาวัตถุดิบค่อนข้างสูง

 

2. ประเด็นเชิงบวกในเรื่องค่าเงินบาทที่อ่อนค่า
SABINA มีธุรกิจ "รับจ้างผลิต" หรือ OEM ให้กับแบรนด์ยุโรปซึ่งรายได้จะอยู่ในรูปเงินต่างประเทศ และตลาดยุโรปก็ฟื้นตัวได้ดีมาก ซึ่งธุรกิจ OEM ของบริษัทจะเติบโตไม่น้อยกว่า 20% ในปี 2565

แต่ประเด็นเรื่องค่าเงินบาทก็มีปัจจัยลบด้วยเช่นกัน ... แต่ปัจจัยลบมีน้ำหนัก "น้อยกว่า" ปัจจัยบวก กล่าวคือ
การนำเข้าสินค้าจากจีนจะมีต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ด้วยความใหญ่ของ SABINA ทำให้บริษัทสามารถเลือกผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ำที่สุดได้ ผลกระทบจึงจำกัด

 

3. บริษัทมีแผนการลดต้นทุนตั้งแต่อยู่ในช่วงโควิด
ตั้งแต่ช่วงโควิดที่ผ่านมาบริษัทมีแผนที่ชัดเจนในการลดต้นทุน สะท้อนลงไปในผลประกอบการ
ปี 2562 บริษัทมีรายได้ 3.29 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 413.25 ล้านบาท
ปี 2563 บริษัทมีรายได้ 2.91 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 276.81 ล้านบาท
ปี 2564 บริษัทมีรายได้ 2.65 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 294.19 ล้านบาท ... กำไรเริ่มกลับมา
ถ้าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว การบริโภคเริ่มกลับมาเชื่อว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่ทำให้กำไรของ SABINA กลับมาทำ New High เหมือนปี 2562 ได้ไม่ยาก


บทวิเคราะห์หลักทรัพย์หยวนต้า มองว่า กำไรไตรมาส 1 กลับมายืนเหนือ 100 ล้านบาทได้ถึงแม้จะมีปัญหาทั้งเรื่องของการระบาด Omicron ความตึงเครียดรัสเซียยูเครน ปัญหาเงินเฟ้อ แต่บริษัทก็ยังทำผลงานได้ดีจากการออกสินค้าใหม่ ควบคุมต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี
ดังนั้น ฝ่ายวิจัยจึงเชื่อว่าเมื่อเข้าสู่ไตรมาส 3 ของปี 2565 กำไรของ SABINA จะกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่ได้จากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวและใน CLMV และปัจจัยบวกในเรื่องตลาดยุโรปที่มีการใช้จ่านกันมากขึ้น

 

บทวิเคราะห์คาดว่า ปี 2565 บริษัทจะมีกำไร 391 ล้านบาท เติบโต 33.5% จากปี 2564 ...

ถือเป็นหุ้นอีกตัวที่นักลงทุนน่าจับตามองเป็นอย่างมากครับ

-------------------------------------------
Reference
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์หยวนต้า

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง