เวลามีคำกล่าวว่า Sell In May and Go Away คือขายหุ้นในเดือนพฤษภาคม เพราะตลาดหุ้นในเดือนพฤษภาคมเป็นเดือนที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก
แต่ถ้าเราดูการเคลื่อนไหวย้อนหลังจะพบว่า "ไม่เป็นความจริงเลย"
บางปีก็ให้ผลตอบแทนติดลบ บางปีก็ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น
แต่สำหรับปีนี้ ถ้าพิจารณาจากเหตุผลที่ปรากฏ นักลงทุนอาจจะต้อง "กังวลใน Sell In May" ด้วยเหมือนกัน
ถามว่าทำไมเป็นเช่นนั้น
... อยากจะเล่าปัจจัยลบที่จะส่งผลให้เดือนพฤษภาคมของปี 2565 ว่าเพราะเหตุใดทำให้ตลาดหุ้นแกว่งตัวในทิศทางลง
#ปัจจัยภายนอก
สิ่งที่น่ากังวล มาจาก 2 ประเด็นด้วยกัน คือ
1. เรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ FED การใช้นโยบายตึงตัวเพื่อเป็นการดึงสภาพคล่องกลับ
เมื่อไม่นานมานี้ นายเจอโรม พาวเวล ส่งสัญญาณว่า FED อาจจะต่อสู้กับเงินเฟ้อโดยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยทีเดียว 0.5% ในการประชุมเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้
ทำไมเราต้องกังวลกับการที่ FED ขึ้นดอกเบี้ยทีเดียว 0.5%
เป็นเพราะว่า การขึ้นทีเดียว 0.5% ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่ปี 2543 ทำให้วอลสตรีทเกิดความกังวลต่อความไม่ชัดเจน เร่งขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมาก่อน
อีกทั้งยังมีเรื่องของการดึงสภาพคล่องกลับ โดย FED อาจจะลดงบดุลเดือนละ 9.5 หมื่นล้านดอลล่าร์ จึงทำให้เกิดความกังวลว่าอาจจะเกิด Inverted Yield Curve (อีกแล้ว) ...
2. บริษัทจดทะเบียนในอเมริกา โดยภาพร่วมจะประกาศผลประกอบการที่ "อ่อนแอกว่าคาด"
ฝ่ายวิจัยวิเคราะห์ว่า แนวโน้มที่บริษัทจดทะเบียนในอเมริกาอาจจะประกาศผลประกอบการที่อ่อนแอกว่าคาด โดยในสัปดาห์นี้จะประกาศ 180 บริษัท คิดเป็น 50% ของ Market Cap.
#ปัจจัยภายใน
สิ่งทีน่ากังวลไม่แพ้กัน คือ เรื่องของปัจจัยภายในประเทศสำหรับประเทศไทย มาจาก 3 ประเด็นหลักๆ คือ
1. ความขัดแย่งระหว่างรัสเซีย และยูเครน ... เงินเฟ้อสูง
สงครามที่เกิดขึ้น ส่งผลให้สินค้าโภคภัณฑ์ ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ต้นทุนต่างๆพุ่งสูงขึ้น กำลังซื้อในประเทศลดน้อยลง เกิดสภาวะเงินเฟ้อได้อีก
2. การกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ยังไม่เด่นชัด
... แผนการตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท จะครบ 3 เดือนในวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 นี้แล้ว อาจจะทำให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น กระทบต่อเรื่องของการขนส่งอีกราวๆ 15-20% หลังรัฐบาลยกเลิกมาตรการ
... มาตรการคนละครึ่งเฟส 4 จะหมดลงในวันที่ 30 เมษายน 2565
ด้วยเงินทุนในกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีเหลือจำกัดราว 7.4 หมื่่นล้านบาท ทำให้การผลักดัน "เฟส 5" มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลง
3. กำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยมีแนวโน้ม "ชะลอลง"
จากการทำ Preview ของฝ่ายวิจัย พบว่าทั้งหมด 35 บริษัท มีกำไรรวมราวๆ 9.6 หมื่นล้านบาท คิดเป็นการลดลง 8.4% QoQ และลดลง 23% YoY
ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ตัวอย่างเช่น
... หุ้นปิโครเคมี ถูกกดดันจาก Spread ลดลง
... หุ้นน้ำมัน ถูกกดดันจากการ Hedging ที่อาจจะขาดทุนได้
... หุ้นถุงมือยาง กำไรลดลงจากระดับหมื่นล้านบาท เหลือเพียง 1 พันล้านบาท
----------------------------------------------
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม : PTTEP อาจจะขาดทุนจาก Hedging
อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม : ปี 2565 จะไม่ใช่ปีที่งดงามของ STA
----------------------------------------------
ถ้าสมมุติว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลง อาจจะส่งผลให้ FundFlow ของต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นไทยน้อยลงด้วยเช่นกัน โดยฝ่ายวิจัยได้สังเกตเห็น 3 สัญญาณที่เด่นชัดในเรื่องของ FundFlow ต่างชาติอาจจะลดลงได้ คือ
- ต่างชาติเริ่มซื้อหุ้นไทยน้อยลงเรื่อยๆ
- ต่างชาติเริ่มถือสถานะ Short ใน SET50 Future 2.8 หมื่นสัญญา กดดันหุ้นขนาดใหญ่
- ค่าเงินบาทอ่อนค่า ล่าสุดแตะระดับ 34 บาท
ดังนั้น จากปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องภายใน และภายนอก จะสร้างความกังวลในเรื่อง Sell In May
พูดง่ายๆคือ เดือนพฤษภาคมของปี 2565 อาจจะไม่ใช่เดือนที่ดีเท่าไรนักสำหรับนักลงทุนที่จะเข้าไปช้อนซื้อหุ้น นั่นเองครับ
----------------------------------------------
Reference