#แนวคิดด้านการลงทุน

เอายังไงกับหุ้นเทคฯจีน

โดย อธิป กีรติพิชญ์
เผยแพร่:
151 views

ปี 63-64 ที่ผ่านมา นอกจากเป็นช่วงเวลาแห่งวิกฤตโควิดแล้ว ยังเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนรายย่อยไทยจำนวนไม่น้อย เปิดใจรับการกระจายการลงทุนไปสู่หุ้นต่างประเทศ”  เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว เกิดภาวะไทยฟื้นช้า ต่างประเทศฟื้นเร็วกว่า หุ้นต่างประเทศหลายๆแห่งไม่เพียงแต่ราคาฟื้นกลับไปสู่ช่วงก่อนโควิดได้เร็วเท่านั้น ยังทำจุดสูงสุดใหม่ได้อีกด้วย โดยเฉพาะการลงทุนในธีมการเติบโตโดดเด่นในต่างประเทศ ในเทรนด์ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก เมกะเทรนด์แห่งอนาคตที่จะเติบโตทั้งจำนวนผู้ใช้ รายได้ และกำไร ได้อีกยาวไกล นั่นก็คือ หุ้นเทคโนโลยี นั่นเอง 

 

    ในบรรดาการลงทุนในธีมเทคโนโลยี ก็มีหลากหลายวิธีการลงทุนให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น

  • ลงทุนหุ้นรายตัวในตลาดหุ้น Nasdaq ที่ประกอบไปด้วยหุ้นเทคฯอเมริกาชั้นนำมากมาย เช่น Tesla Zoom Intel CISCO ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นเทคฯตัวใหญ่ที่เป็นที่รู้จักอย่างกลุ่ม FANGMAN ที่เป็นตัวย่อ หมายถึงหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอเมริกันที่ได้รับความนิยม และมี Market Cap ขนาดใหญ่ ได้แก่ Facebook (Meta), Amazon (AMZN), Netflix (NFLX), Google's Alphabet (GOOGL), Microsoft (MSFT), Apple (AAPL), and Nvidia (NVDA) เป็นต้น 
  • ลงทุนผ่าน ETF เทคโนโลยีที่มีอยู่มากมาย ภายใน ETF มีการกระจายการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีหลายๆตัว เช่น 
    • VGT – Vanguard Information Technology ETF
    • FTEC – Fidelity MSCI Information Technology Index ETF
    • XLK – Technology Select Sector SPDR Fund
    • QQQ – Invesco QQQ Trust
    • FDN – First Trust Dow Jones Internet Index Fund
    • ARKK – ARK Innovation ETF

 

    ทีนี้ ยังมีการลงทุนในหุ้นสายเทคโนโลยี ที่แตกต่างกับรายชื่อหุ้นและกอง ETF ข้างต้น นั่นคือ การลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีจีน (Chinese Technology Stock) ซึ่งเราอาจจะเคยได้ยินกลุ่ม BAT หมายถึง Baidu Inc., Alibaba Group Holdings Ltd. และ Tencent Holdings Ltd. เหล่านี้เป็นหุ้นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดสามบริษัทของจีน

 

  • Baidu คือเสิร์ชเอ็นจิ้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ปัจจุบัน Baidu Inc. ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในจีน  นอกจากนี้ยังให้บริการอื่นๆ เช่น โซเชียลมีเดีย แผนที่ และเพลง บริษัทยังทำวิจัยในธุรกิจรถยนต์ไร้คนขับและปัญญาประดิษฐ์ 
  • Alibaba คือ บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ในจีนและแถบเอเชีย ที่ดำเนินธุรกิจหลักในพอร์ทัลออนไลน์สองแห่งคือ Taobao และ Tmall โดย Taobao ให้บริการการค้าระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภค และ Tmall ให้บริการแบบธุรกิจกับผู้บริโภค อาลีบาบากรุ๊ปยังได้พัฒนา Alipay ซึ่งเป็นบริการชำระเงินที่โดดเด่นและประสบความสำเร็จในฐานะบริษัทในเครือของ Ant Financial และมีธุรกิจแผนกคลาวด์คอมพิวติ้ง อีกด้วย 
  • Tencent เป็นเจ้าของ WeChat ซึ่งเป็นโปรแกรม Chat ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก (ประมาณ 1.2 พันล้านคน) ซึ่งกำลังพัฒนาไปสู่การเป็น SuperApp สำหรับประเทศจีน Tencent ยังเป็นเจ้าของเกมออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากกว่า 10 ล้านรายอย่าง Clash of Clans 

 

นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีจีนผ่านกองทุนรวม ที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะประกอบไปด้วยหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำ ที่กินส่วนแบ่งตลาดอันดับต้นๆ ในประเทศที่มีจำนวนประชากรอันดับ 1 ของโลก ส่งผลให้รายได้เติบโต จำนวนผู้ใช้งานเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี กระทั่งราคาหุ้นเทคฯจีนหลายๆตัวขึ้นสูงจุดสูงสุดที่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2564 

 

จากจุดสูงสุดนั้น ก็เริ่มเกิดข่าวกระทบตลาดด้วยการมาคำว่า “Common Prosperity Policy” หรือนโยบายรุ่งเรืองร่วมกัน ที่ถูกพูดถึง เน้นย้ำ ซ้ำๆโดยรัฐบาลมาโดยตลอด และเป็นที่มาของมาตรการของรัฐบาลจีนที่เข้มงวดในการกำกับดูแลภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่มีการผูกขาดเพื่อสร้างความเป็นธรรมในตลาด

 

โดยได้เข้ามาควบคุมกลุ่มโรงเรียนกวดวิชา (After-school Tutoring – AST) โดยเปลี่ยนให้เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีน A-shares และ H-shares ปรับตัวลงแรงในช่วงเวลาดังกล่าวทันที ผลกระทบที่เกิดต่อราคาหุ้นกวดวิชานั้นไม่ต้องพูดถึง ให้ภาพเล่าเรื่องครับลง -94% ภายในปีเดียว ตัวอย่างคือ TAL Education Group 

 

จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อกองทุนหุ้นจีน โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีจีนในปัจจุบัน นอกจากนี้ การควบคุมจากทางรัฐบาลจีนยังคงมีอย่างต่อเนื่องมาที่กลุ่มเทคฯ เช่น 

  • Ant Group บริษัทในเครือ Alibaba ถูกยับยั้งจากรัฐบาลจีนเพียงไม่กี่วันก่อนที่จะมีการเปิดการซื้อขายวันแรก (IPO) เพื่อให้ทาง Ant Group กลับไปปรับปรุงโครงสร้างการทำงานต่างๆให้ทำตามกฎระเบียบด้านธุรกิจสถาบันการเงินเหมือนสถาบันการเงินอื่น
  • Tencent มีประเด็นที่ถูกปรับเงิน และยกเลิกการผูกขาดในลิขสิทธิ์เพลง เนื่องจากรัฐบาลมองว่าเป็นการผูกขาดทางการตลาดอย่างหนึ่ง

 

ผลกระทบจากการควบคุมจากรัฐบาลจีนโดยเฉพาะด้านกฎระเบียบการผูกขาดตลาด ทำให้ตลาดหุ้นจีนมีการปรับฐานลงหนัก โดยในช่วงต้นปี 2565 พบว่า ดัชนีที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ Hang Seng Tech ซึ่งเป็นดัชนีที่รวมหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่กว่า 30 บริษัท ในตลาดหุ้นฮ่องกง เช่น Tencent, Alibaba, JD.com Meituan และนอกจากนั้นยังพบว่าหลายบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ใน Hang Seng Tech ถูกนับรวมอยู่ในดัชนี H-Shares และ MSCI China ส่งผลให้ 3 ดัชนีนี้ปรับตัวลงแรงเช่นกัน

 

นอกจากหุ้นเทคฯจีนจะได้รับผลกระทบจากการกำกับดูแลของรัฐบาลจีนที่ออกกฎระเบียบควบคุมในด้านต่างๆแล้ว ยังมีประเด็นสงครามทางเทคโนโลยี (Tech War) กับประเทศสหรัฐฯที่พยายามสกัดกั้นเทคโนโลยีจากจีน และยังคงมีประเด็นกดดันอื่นๆอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น ประเด็นการตรวจสอบบัญชี ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของ USA ระบุว่าบริษัทจีน 5 แห่งอาจถูกถอดออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เนื่องจากไม่ผ่านข้อกำหนดด้านการตรวจสอบบัญชี ซึ่งไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการถือครองบริษัทต่างชาติ (HFCAA) โดยกฎหมายดังกล่าวให้อำนาจ ... ในการถอด(Delisted) บริษัทออกจากวอลล์สตรีท หากพวกเขาล้มเหลวในการอนุญาตให้สหรัฐฯตรวจสอบเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อข่าวร้ายทั้งปวงได้ถูก Factor-in เข้าไปในราคาหุ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นเทคฯจีนหลายตัว มีราคาลดลงกว่าครึ่งภายในปีเดียว เช่น

 

Baidu 

 

Alibaba 

 

Tencent 

 

Meituan

 

คำถามใหญ่สำหรับนักลงทุนคือ ราคาหุ้นบนกระดานตอนนี้ มี Margin of Safety เหมาะสมกับความเสี่ยงต่างๆที่เกิดขึ้นแล้ว และต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากพอให้เราซื้อแล้วหรือยัง 

 

ฝ่ายที่ยังชอบหุ้นจีน  : ก็ยังคงเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจเทคฯจีนเหล่านี้ ซึ่งได้รับประโยชน์จากการเข้าสู่ยุคดิจิทัล และสอดรับกับรูปแบบการใช้ชีวิต (Lifestyle) ของคนรุ่นใหม่ในจีนที่เปลี่ยนไป โตไปพร้อมกับเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจและการบริโภคของจีนที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และหุ้นเทคฯจีนตัวใหญ่คือผู้ชนะในที่สุด นี่คือโอกาสในการเลือกซื้อหุ้นผู้ชนะ ในราคาออนเซลล์ ถือเป็นโอกาสทยอยเข้าลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวไม่ต่างอะไรกับการซื้อหุ้นไทยช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งหรือแฮมเบอร์เกอร์ 

 

ฝ่ายที่กลัวหุ้นจีน  : ยังต้องติดตามการดำเนินนโยบายที่เข้มงวดของภาครัฐต่อการควบคุมการผูกขาดในธุรกิจเทคโนโลยี ท่าทีของสหรัฐที่จะเข้ามาตรวจสอบมาตรฐานบัญชีของบริษัทเทคฯจีนที่ลิสต์ใน Nasdaq และหากพบว่าไม่ได้มาตรฐาน จะทำให้หุ้นเหล่านั้นถูกถอดออกจากตลาดได้ รวมถึงนโยบาย Zero COVID ที่อาจไม่สามารถรับมือการระบาดหรือกลายพันธุ์ของโควิด-19 ทำให้เกิดการล็อกดาวน์เมืองใหญ่หลายเมืองได้ ความเสี่ยงยังมีอยู่และมีมาก ทำไมต้องมาเสี่ยงกับความไม่แน่นอนระดับนี้ด้วย 

 

    ไม่ว่าตัดสินใจเลือกทางไหน ยากที่จะฟันธงว่าผิดหรือถูก เพราะขึ้นกับข้อมูลและการวิเคราะห์ส่วนตัวของนักลงทุนในหุ้นเทคฯจีน ซึ่งเดิมพันด้วยความมั่งคั่งส่วนตัวของเรากันเองครับ


เจ้าของหนังสือ Best Seller “ติวหุ้น รวยด้วยวีไอ” และยังเป็นวิทยากรคอร์ส “ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐานแบบ Value/Growth Investor” ด้วยประสบการณ์ในตลาดทุนกว่า 17 ปี และประสบการณ์ในการเป็นติวเตอร์ บวกกับความเป็นคนอารมณ์ขัน  ทำให้คุณนิ้วโป้งสามารถถ่ายทอดเรื่องยาก อย่างการลงทุน ให้เข้าใจได้ง่าย และยังใช้ภาษา ลีลาที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจอย่างยิ่ง จึงทำให้ได้รับเชิญไปบรรยายในงานต่างๆ มากมาย

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง