ตั้งแต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยวิ่งขึ้นไปแตะ 1650 จุดในช่วงเดือนพฤษภาคม 2556 หลังจากนั้น ตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้เป็นตลาดกระทิงขาขึ้นชัดๆแบบช่วงปี 2552 ถึงช่วงต้นปี 2556 อีกเลย การทำกำไรง่ายๆจากตลาดหุ้นก็ไม่สามารถทำได้อีก วิธีการหลับตาหว่านซื้อมั่วๆแล้วปล่อยให้หุ้นราคาขึ้นไปเอง ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
นอกจากนี้ แม้แต่หุ้นชื่อชั้นดี ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งของตลาดหุ้นไทย ก็โดนผลกระทบ ราคาหุ้นลดลงไปด้วย จากกระแสเงินของนักลงทุนต่างชาติที่ ”ขายสุทธิ” หุ้นไทยติดต่อกันมา 3 ปี เกิน 3 แสนล้าน
สิ่งเหล่านี้ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ๆเริ่มถอดใจกันไปเยอะ บ้างก็พูดไปว่า “หมดยุคทอง” การลงทุนในตลาดหุ้นไทยกันเลยทีเดียว
ผมคิดว่า คำว่า “หมดยุคทอง” ไม่ได้หมายความว่า ตลาดหุ้นไทย รวมทั้งการลงทุนในหุ้น ไม่น่าสนใจ ไม่น่าลงทุน แต่อย่างใด แต่มันหมายถึง ยุคที่ตลาดหุ้นไทย จะอุดมไปด้วยหุ้นที่ทั้งพื้นฐานดี ทั้งราคาถูก(P/E ระดับ 7-8 เท่า)เต็มตลาดไปหมด แบบ 10 กว่าปีก่อน ... มันอาจจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว
อย่าลืมว่าสมัยก่อน ประเทศไทยเพิ่งผ่านวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 มาไม่นาน การลงทุนในหุ้นถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงมหาศาล เพราะคนยังมีภาพจำอันโหดร้ายที่หุ้นกิจการเจ๊ง ราคามันลงเหลือ “ศูนย์บาท” สมัยวิกฤต ส่งผลให้หุ้นอนาคตดี กำไรเติบโต กลับเทรดที่ค่า P/E ที่ต่ำ เกิดภาวะหุ้นราคาถูกเรื้อรัง ... ซึ่งผิดจากสมัยนี้ ที่คนเริ่มลืมภาพวิกฤตต้มยำกุ้งกันแล้ว เคยเห็นความมหัศจรรย์ของราคาหุ้นที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดมาแล้ว ตลาดหุ้นจึงกลายเป็นทางเลือกในการสะสมความมั่งคั่งของคนยุคนี้กันมากขึ้น ราคาหุ้นชื่อชั้นดีในตลาด จึงยากจะมีราคาถูก
ดังนั้น การจะหาหุ้นดี ที่ราคาถูกมากๆ เข้าซื้อแล้วถือยาวไป 10 ปี โดยหวังกำไร 10 เด้ง 100 เด้ง ง่ายๆ...คงจะยากครับ ความคาดหวังผลตอบแทนระดับ 20% ไปทุกปี ก็อาจจะเป็นความคาดหวังที่สูงเกินไป
ระดับผลตอบแทนที่เป็นไปได้ ระดับ 8-12% ต่อปีน่าจะยังคาดหวังได้อยู่ และการลงทุนให้หุ้น ยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับการฝากแบงค์ (ดอกเบี้ยต่ำกว่า 2.5%) และดีกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ
ซึ่งในระหว่างทางการถือหุ้น แน่นอนว่าคนยุคนี้ จะต้องเจอกับความผันผวนที่สุดโต่งกว่าคนยุคก่อนแน่นอน เพราะนโยบายการเงินสมัยนี้ ไม่เหมือนสมัยก่อน อย่างนโยบายพิมพ์เงิน (QE) นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบหนักๆ นโยบายการเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรี และความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (น้ำมัน ถ่านหิน ทองคำ สินค้าเกษตร) ต่างส่งผลกระทบให้ตลาดหุ้นผันผวนทั้งสิ้น
นักลงทุน จึงต้องมี จิตใจที่เข้มแข็ง ทนทานต่อความผันผวน และแรงกดดัน ให้ได้ ... ต้องอยู่เฉยๆให้เป็นในบางช่วงเวลา และต้องมีความหาญกล้าที่จะเติมเงินลงในพอร์ทหุ้น ในช่วงที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงในระยะยาว
อย่างขณะนี้ SET อยู่ที่ 1333 จุด โดยที่ 10 วันทำการที่ผ่านมา ตลาดปรับตัวลง 8 ใน 10 วัน ใครมีหุ้นในพอร์ท ก็คงต้อง ซึม เศร้า เหงาเพราะรัก กันไม่มากก็น้อย เพราะ YTD ตั้งแต่ต้นปีมา ลงไปแล้วมากกว่า 10%
ณ จุดๆนี้ ก็ลองจินตนาการดูครับ
-> ถ้า SET ลงอีกซัก 10% (อีก 130 จุด) ไปที่ 1,200 จุด เรายังทนพิษบาดแผลไหวมั๊ย
-> ถ้า SET ลงอีกซัก 20% (อีก 260 จุด) ไปที่ 1,070 จุด เรายังทนพิษบาดแผลไหวมั๊ย
ถ้าตัดใจขาย บางตัวหุ้นลงมาแล้ว 30-50% พื้นฐานเปลี่ยนไปในทางแย่ลง(fundamental changed) แล้ว... กล้าตัดอวัยวะมั๊ย ? ถ้ากลั้นใจถือ ทนเห็นหุ้นลบ 30-50% คาพอร์ทไว้...ทนไหวมั๊ย ?
เพราะในโลกความเป็นจริง การมีความรู้ ทักษะในการลงทุน อาจจะไม่พอในการคงอยู่ในตลาด … "จิตใจที่เข้มแข็ง ทนทานต่อแรงกดดัน" ก็จัดเป็น Skill ขั้นสูง ที่นักลงทุนควรต้องมีติดตัว อย่าลืมว่าหนทางขรุขระ เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางลงทุน ที่ทุกคนต้องผ่าน
ผมคิดว่า ในยามที่ ความมั่นใจในตลาดหุ้นยังไม่กลับมา เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับนักลงทุนวีไอ ที่มีทั้งทักษะ ความรู้ และจิตใจที่เข้มแข็ง เพราะเป็นช่วงที่เราสามารถเลือกทยอยลงทุน ในกลุ่มหุ้นที่เราต้องการ ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าได้ง่ายขึ้น
อย่าลืมว่า “ตลาดหุ้นอันตราย เมื่อทุกอย่างดูดีไปซะหมด ทุกคนเชื่อว่าหุ้นจะขึ้น” เพราะนั่น เป็นสัญญาณบอกว่าหุ้นกำลังมีราคาแพง และนักลงทุนส่วนใหญ่กำลังมีความกล้าที่มากเกินไป ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ใช่ช่วงเวลานี้
ผมยังเชื่อมั่นว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นทางเลือกที่ดี ... และประเทศไทยยังมีอนาคตที่ดีครับ