เมื่อไม่นานมานี้ นักลงทุนน่าจะได้ยินข่าวเรื่องของการเข้าซื้อหุ้น Hewlett Packard หรือ HP ด้วยเงินกว่า 4.2 พันล้านเหรียญ กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นที่มีสัดส่วนราวๆ 11.4%
ประเด็นคือ บัฟเฟตต์ มองอะไรถึงได้ทุ่มเงินกว่า 4.2 พันล้านเหรียญเข้าไปถือหุ้นมากถึง 11%
Brian Sozzi คอลัมน์นิสต์ของ Yahoo Finance น่าจะมาจาก 2 เหตุผลหลักด้วยกัน คือ
1. ผู้บริหาร Enrique Lores มีความสามารถ และเป็น CEO ที่เก่งมาก
เราทราบหรือไม่ว่าในช่วงปีโควิดที่ผ่านมา อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ มีมูลค่าตลาดลดลงราวๆ 2%
และธุรกิจเครื่องปริ้นเตอร์ มีมูลค่าตลาดลดลงราวๆ 23%
ในขณะที่ HP สามารถทำให้ยอดขายของคอมพิวเตอร์ เพิ่มขึ้นราวๆ 26%
และยอดขายเครื่องปริ้นเตอร์ เพิ่มขึ้น 9%
... สวนทางกับอุตสาหกรรมที่หดตัวลง
แสดงให้เห็นว่าบริษัทต้องมีอะไรพิเศษ ถึงมียอดขายที่เพิ่มขึ้น
แบรนด์ ? พนักงานในองค์กร ? นวัตกรรม ?
หรือ CEO ที่มองออกว่าจะขับเคลื่อนองค์กรอย่างไรให้เติบโตได้ท่ามกลางความย่ำแย่ของอุตสาหกรรม
2. หุ้น HP ราคาไม่แพงในเชิง Valuation
หุ้น HP มีค่า P/E ราวๆ 6.8 เท่า และอัตราปันผลราวๆ 2.7%
ถือว่าไม่แพงเลยในเชิงพื้นฐาน
หรือต่อให้คิดในเรื่องของ Forward P/E (คาดการณ์กำไร 4 ไตรมาสเพื่อหาค่า P/E) จะอยู่ที่ 8.5 เท่า เท่านั้นซึ่งถือว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับดัชนีดัชนี S&P500 ที่อยู่ราวๆ 18.6 เท่า
หรือเทียบกับคู่แข่งอย่าง Xerox ที่มีค่า P/E ราวๆ 12 เท่า
อย่างไรก็ตาม เขายังได้แสดงความคิดเห็นว่า HP ไม่ใช่หุ้นโตเร็ว
การที่บัฟเฟตต์ เข้าซื้อหุ้น อาจจะหวังในเรื่องของมูลค่าที่ยังต่ำกว่าความเป็นจริง ไม่ใช่การเติบโตอย่างที่ตลาดให้ความนิยมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
----------------------------------------
Reference