อันตรายใหญ่หลวงในตลาดหุ้นอเมริกาโดย คาร์ล ไอคาน (Carl Icahn) สุดยอด Activist Investor ของอเมริกา
คาร์ล ไอคาน ออกมาเตือนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยเขาเชื่อว่าตลาด S&P 500 ร้อนแรงเกินไป! และเชื่อว่าฟองสบู่ลูกใหญ่กำลังเกิดขึ้นจากสภาวะดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานานจากนโยบายที่ไม่เด็ดขาดของนาง Janet Yellen
เขาเห็นสัญญาณฟองสบู่ จากมูลค่าการซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A) ที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์และความร้อนแรงของตลาด "หุ้นกู้ขยะดอกเบี้ยสูง" (High-Yield Bond) และ "ETF"
นโยบายดอกเบี้ยที่ต่ำมากเป็นเวลานาน คือการสร้างฟองสบู่ขึ้นมา เนื่องจากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นมาจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของ Fed ทำให้หลายๆบริษัทในอเมริกาฉวยโอกาสในการใช้วิศวกรรมทางการเงิน (Financial Engineer) ปั้นตัวเลขการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทตัวเองขึ้นมา ด้วย 2 วิธีหลักๆคือ
1. นำเงินไปซื้อบริษัทอื่น เพื่อดันรายได้และกำไรของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว (Merger & Acquisition) ซึ่งถูกใจนักวิเคราะห์ใน Wall Street เพราะเป็นการใช้วิศวกรรมทางการเงิน เพิ่มกำไรต่อหุ้น เพื่อดันราคาหุ้นให้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่เพียงแต่บริษัทในอเมริกาเท่านั้นที่ทำครับ บริษัทในประเทศไทยหลายบริษัทก็ใช้โมเดลการเติบโตแบบนี้ เช่นการทำตัวเป็น Holdings Company แล้วไปไล่ซื้อกิจการของบริษัทเล็กๆ (เช่น การไล่ซื้อโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ขนาดเล็ก เพื่อให้สามารถบันทึกรายได้เข้าบริษัทเร็วๆ โดยไล่ซื้อมาด้วยราคาที่แพงมาก แต่ค่อยๆตัดค่าเสื่อมราคา ทำให้กำไรดูสูงกว่าความเป็นจริง)
หากพิจารณาถึงคำพูดนี้ ก็ดูจะมีน้ำหนักพอสมควรครับ เพราะในปีที่ผ่านมาเราได้เห็นดีลแบบ "Megamerger" เยอะมากๆ เป็นการรวมตัวของยักษ์ใหญ่ในหลายอุตสาหกรรม เช่น Kraft-Heinz (อุตสหกรรมอาหาร), Dow-DuPont (อุตสาหกรรมเคมี), Pfizer-Allergan (อุตสาหกรรมการแพทย์) และ AB InBev-SABMiller (อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม)
2. นำเงินสดที่เหลือไปซื้อหุ้นคืน ซึ่งในเนื้อหารายงานประจำปีย้อนหลังของ Berkshire Hathaway เขียนโดย วอร์เรน บัฟเฟต เขาเคยเขียนไว้ว่า การซื้อหุ้นคืนนั้นจะเหมาะสม หากบริษัทใช้เงินไปกับ 2 วัตถุประสงค์หลักเท่านั้น คือ 1) ลงทุนอัพเกรดสินทรัพย์ของธุรกิจให้ทันสมัย เพื่อคงความได้เปรียบของธุรกิจ กับ 2) ลงทุนขยายธุรกิจเพื่อการเติบโต หากบริษัทเหลือเงินหลังจากทำสองอย่างนี้ก่อนแล้วเท่านั้น การซื้อหุ้นคืนถึงจะถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
การใช้วิศวกรรมทางการเงิน ดันกำไรต่อหุ้นของบริษัทใน S&P 500 ทำให้กำไรที่รายงานออกมาน่าสงสัยมาก เพราะถ้าดูที่การนำเงินไปลงทุนเพิ่มผลิตผล (Productivity) เช่นลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ ลงทุนกับพนักงานนั้น การเติบโตของผลิตผลออกมาต่ำ แต่กำไรต่อหุ้นกลับสูงขึ้น เพราะผู้บริหารเลือกที่จะปั้นกำไรต่อหุ้นโดยการไล่ซื้อบริษัทอื่นอย่างบ้าคลั่ง หรือไม่ก็ซื้อหุ้นคืนตามกระแส
นี่เป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนกำลังจ่ายเงินลงทุนกับบริษัทที่กำไรควรจะต่ำกว่าที่รายงานออกมา หรือพูดอีกอย่างก็คือ นักลงทุนกำลังลงทุนอยู่ในตลาดที่แพงมากกว่าพื้นฐานมากมาย
นอกจากนี้ คาร์ล ยังเชื่อว่าฟองสบู่อันตรายอีกลูกหนึ่งก็คือ "หุ้นกู้ดอกเบี้ยสูง" (High-Yield Bond) ซึ่ง เขาพูดว่ามันคือ "หุ้นกู้ขยะ" (Junk Bond) นั่นเอง ซึ่งปกติแล้ว หุ้นกู้ขยะจะจ่ายดอกเบี้ยที่สูงกว่าหุ้นกู้ทั่วๆไปมาก เพราะนักลงทุนต้องการผลตอบแทนสูง เพื่อแลกกับความเสี่ยงที่บริษัทอาจผิดชำระหนี้
แต่ปัจจุบัน สภาพคล่องและมูลค่าของตลาดหุ้นกู้ขยะพุ่งสูงขึ้นมากจนผิดปกติ และนักลงทุนก็กระโจนเข้าซื้อหุ้นกู้ขยะอย่างดุเดือด เพื่อหวังจะเอาดอกเบี้ยสูงๆ โดยมองข้ามความเสี่ยงที่บริษัทนั้นอาจไม่สามารถจ่ายหนี้คืนได้!
แต่ความเสี่ยงที่นักลงทุนไม่รู้ก็คือ หากเศรษฐกิจเกิดแย่ขึ้นมา จะเกิดการ panic อยากขาย Bond กันออกมามาก แต่จะไม่มีผู้ซื้อ Bond รับช่วงต่อจากนักลงทุน ดังนั้นสภาพคล่องที่เห็นอยู่ จะหายไปในพริบตา
และนั่นคืออันตรายที่เกิดขึ้นจากนโยบายดอกเบี้ยต่ำของ Janet Yellen ที่สะสมมาเป็นระยะเวลานานนั่นเอง
นอกจากนี้ตลาด ETF (ย่อมาจาก Exchange Traded Fund เป็นกองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์) ก็เฟื่องฟูขึ้นมากเช่นกัน เกิดผลิตภัณฑ์ที่ใช้ leverage สูงๆอย่าง Leveraged ETF เข้ามาอีก เป็นความเพิ่มความร้อนแรงของตลาดมากขึ้นในช่วงดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานานแบบนี้ (ซึ่งในเมืองไทยก็มีบางกองทุน ที่เข้าไปซื้อ ETF ของตลาดหุ้นอเมริกาเหมือนกัน)
คาร์ลเตือนว่า เขาเห็นวิกฤติแบบนี้มาหลายครั้งจากประสบการณ์ที่มีมานาน และเชื่อว่าอเมริกากำลังจะเจอประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง เหมือนคำพูดที่ว่า "คนที่ไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ มักจะเดินซ้ำรอยเดิมเสมอ"
แม้ว่าจะมีเรื่องให้กังวลมาก... แต่ทุกวิกฤติ ก็มีโอกาสอยู่เสมอสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมครับ
ติดตามวิดีโอเต็มได้ที่ http://carlicahn.com/ เรื่อง Carl's views on markets, stocks, and politics
ขอบคุณภาพจาก carlicahn.com และ CNBC
บทความโดย: บูม MoneyCrown / FB: MoneyCrown