การจะเข้าไปลงทุนในหุ้นตัวใด เมื่อใช้หลักการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน (Fundamental) ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ หรือปริมาณ
รวมทั้งการ Valuation วัดมูลค่าหุ้น ต้องเข้าใจว่า เราต้องใส่กรอบระยะเวลาที่นานพอเข้าไปด้วย กว่าที่ธุรกิจจะสามารถดำเนินการตามแผนการเติบโตที่วางไว้ กระทั่งสะท้อนลงมาที่ราคาหุ้น
ในหลายกรณี มูลค่าหุ้น (Intrinsic Value) กับ ราคาหุ้น (Stock Price) สามารถแตกต่างกันได้มากเป็นเวลานานหลายๆปี
ปัญหาคือ นักลงทุนมือใหม่หลายท่าน อาจจะทนรอนานขนาดนั้นไม่ไหว ตั้งคำถามว่า หากบริษัทนั้นมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีจริง แถมราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เหตุใดราคาหุ้นจึงไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามพื้นฐาน !!!
คำถามนี้ผมเองเคยได้ยินมานาน และเชื่อมั่นว่าจะได้ยินต่อไปครับ ต้องบอกก่อนว่าการเป็นนักลงทุนมีทั้ง
- สายลงทุนระยะยาวแบบสร้างพอร์ต ... เพื่อรับเงินปันผลและสร้างพอร์ตที่เติบโต
- สายลงทุนระยะกลางถือได้เกิน 1 ปี ... แต่ต้องทำกำไรได้ 10-20% ขึ้นไป เน้นกินคำใหญ่
- สายระยะสั้น หวังผลไม่เกิน 1 ไตรมาส ... เน้นกินคำเล็กและต้องไม่ติดหุ้น
- และอื่นๆอีกมากมาย
ปัญหาของการลงทุนแล้วราคาหุ้นไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ เราต้องทำความเข้าใจในปัจจัยที่กระทบราคาหุ้นด้วย โดยเฉพาะนักลงทุนที่หวังผลภายในระยะเวลาน้อยกว่า 1 ปี เพราะแม้จะมีคำกล่าวว่า ในระยะยาว...ราคาหุ้นจะวิ่งเข้าสู่ปัจจัยพื้นฐานเสมอ
แต่ในระยะสั้น ปัจจัยกระทบราคาหุ้นไม่ได้มีเพียง ปัจจัยพื้นฐานเท่านั้น พบว่าราคาหุ้นในตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงเศรษฐกิจดี เศรษฐกิจแย่ โรคระบาด หรือสงครามก็ตามที มักมีการเคลื่อนไหวจากปัจจัยหลัก 3 ประการ
1. Fundamental ปัจจัยพื้นฐาน
-> งบการเงินรายไตรมาส.. ถ้างบการเงินเติบโต รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม งบดุลแข็งแกร่ง นั่นคือการยืนยันการเติบโตของราคาหุ้นได้แบบมีข้อมูลเชิงปริมาณสนับสนุน
-> ข่าวสารการเติบโตของกิจการ ..ข่าวการได้โครงการใหม่ ข่าวการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ข่าวการควบรวมกิจการ ข่าวขยายสาขา ข่าวชนะประมูล ฯลฯ หรือแม้กระทั่งการประชุมนักวิคราะห์ ที่ผู้บริหารจะมีการให้มุมมองอนาคต ประเมินภาพเป้าหมายข้างหน้า เช่น จะมีลูกค้าเติบโต double digit, มีเป้าหมายรายได้เติบโต, หรือ มีเป้าหมาย EBITDA Margin เป็นเท่าไหร่ เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยผลักดันราคาหุ้นได้ทั้งสิ้น
-> มูลค่าที่แท้จริง ...ที่คำนวณได้จากการประเมินมูลค่า บางครั้งเราสามารถหาอ่านได้ในบทวิเคราะห์ที่นักวิเคราะห์จะคำนวณมูลค่าพื้นฐาน Fair Price ราคาเป้าหมายตอนสิ้นปี หรือ ราคาเป้าหมายล่วงหน้า 12 เดือนเป็นต้น
2. Fund Flow
จากแรงซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบันในประเทศ (กองทุน) โดยเฉพาะการปรับพอร์ตของดัชนีหลักอย่าง MSCI AC Asia Pacific Index หรือแนวโน้มการเข้าเก็บหุ้น หรือลดพอร์ต ของกองทุนในประเทศ เป็นปัจจัยที่กระทบต่อราคาหุ้นใหญ่โดยเฉพาะใน SET50 มาก
3. กระแสความนิยม ของหุ้นใน sector
ในบางรอบการลงทุน ความนิยมของนักลงทุน กองทุน หรือต่างชาติ ในหุ้นบาง sector สามารถผลักดันราคาหุ้นทั้งกลุ่มได้อย่างไม่น่าเชื่อ บางรอบการลงทุน ความนิยมอาจมาที่ “กลุ่มโรงไฟฟ้า” ในอดีตคือหุ้น Defensive กินปันผล ราคาไม่หวือหวา
แต่ในบางช่วงเวลาก็อาจจะเป็นที่นิยมลงทุนมากๆก็ได้ หรืออาจจะเป็นการลงทุนตามรอบวัฏจักรอย่าง กลุ่มอิเลคทรอนิคส์ กลุ่มเหล็ก กลุ่มเดินเรือ ช่วงที่ดีก็จะมีกระแสการลงทุน (หรืออาจเรียกว่ากระแส “เล่นหุ้น”) สูงมาก แต่ช่วงที่หมดความนิยมก็จะตรงกันข้าม หรือ อาจเป็นกระแสเฉพาะกิจ อย่างกระแส Solar Cell กระแสกัญชงกัญชา กระทั่งลาสุดกระแสการทำเหมืองขุดเหรียญคริปโต เป็นต้น
ทั้งสามปัจจัยหลักดังกล่าว มีความสำคัญเหนือกว่าภาวการณ์ไม่ปกติระยะสั้น ถ้าใครประเมินปัจจัยทั้งสามได้ถูกทาง หรือมีโอกาสคาดเดากระแสได้อย่างถูกต้อง จะสามารถประเมินได้ว่าจะกระทบกับราคาหุ้นได้ในทิศทางไหน ก็อาจจะเทรดหุ้นทำกำไรได้ อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาระยะสั้น ซึ่งรูปแบบการลงทุนนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นการเก็งกำไรด้วยปัจจัยพื้นฐานระยะสั้น นั่นเอง
เพราะที่สุดแล้วการลงทุนระยะยาวแบบ Value Investment ยังคงมีความเชื่อว่า ในระยะยาว ราคาหุ้นจะวิ่งเข้าหา Fundamental อยู่เสมอครับ