หลังปีทองของธุรกิจ "ยาง-ถุงมือยาง" ผ่านพ้นไป ราคาหุ้น STA กับ STGT ก็กอดคอร่วงสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนอย่างมาก
>>> STA เคยมีราคาที่สูงถึงเกือบๆ 50 บาท ปัจจุบันเหลือเพียง 29 บาทเท่านั้น
>>> STGT จากที่เคยเล่นกันราคา 47 บาท ปัจจุบันเหลือเพียง 29 บาท เช่นเดียวกับหุ้นแม่อย่าง STA
ประเด็นคือธุรกิจยางพาราอย่าง STA ในปี 2565 หมดเสน่ห์แล้วหรือยัง ?
คำถามนี้ตอบได้ยาก
เพราะราคาหุ้นลงมามากแล้วจากจุดสูงสุด (และมีแนวโน้มที่จะลงได้ต่อ)
แต่ถ้ามถามว่า "ซื้อได้ไหม" อยากจะเล่าสู่กันฟังข้อสรุปจากบทวิเคราะห์แบบนี้ครับ
บทวิเคราะห์เอเชียพลัส วิเคราะห์ถึง 2 ประเด็นหลักด้วยกัน คือ
1. ธุรกิจหลัก (ยางพาราต้นน้ำ - ปลายน้ำ) มีแนวโน้มลดลง
ธุรกิจหลักของ STA ประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ธุรกิจยางพารา (60% ของรายได้) และถุงมือยาง (40% ของรายได้)
ซึ่งธุรกิจยางพารามีแนวโน้ม "ทรงตัว" เติบโตจากปริมาณขายเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ในปีเดียวกัน แต่ด้วยปริมาณขายเพิ่มขึ้นกลับไม่ได้ส่งผลให้ "อัตรากำไร" เพิ่มขึ้นไปด้วย เพราะไตรมาส 3 ที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูง พอมาเทียบกับไตรมาส 4 จึงไม่ได้โดดเด่นมากนัก
ธุรกิจถุงมือยาง มีแนวโน้ม "อ่อนตัวลง" เพราะราคาขายถุงมือยางลดลงราวๆ 25% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ในปีเดียวกัน แต่ปริมาณขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยราวๆ 3% เท่านั้น
... ซึ่งราคาขายที่ลดลงมีน้ำหนักที่มากกว่าปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย
2. ธุรกิจถุงมือยางผ่าน STGT อ่อนตัวลงมากกว่าที่เคยคาดการณ์เอาไว้
ดูเเหมือนว่าปัญหาของ STA จะอยู่ที่ธุรกิจถุงมืยาง เพราะรายได้จะสัดส่วนน้อยกว่าก็จริง แต่การทำกำไรของถุงมือยาง "มากกว่า" ธุรกิจยางพาราแบบดั้งเดิม ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราจะเห็นช่วงโควิด ราคา STA และ STGT พุ่งได้อย่างรุนแรง
เมื่อ STGT เกิดปัญหาจากหลายสาเหตุ ได้แก่
- ราคาขายลดลง
- ต้นทุนเพิ่มขึ้น
- ค่าขนส่งสูงขึ้น ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน ปัญหาทางด้านขนส่ง
ย่อมส่งผลต่อ STA อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฝ่ายวิจัยของเอเชียพลัส วิเคราะห์ว่าผลประกอบการทั้งปี 2564 จะเติบโตสูงถึง 72% เมื่อเทียบกับปี 2563
แต่พอสิ้นปี 2565 ผลประกอบการจะลดลงถึง 60% สาเหตุหลักจากธุรกิจถุงมือยางอ่อนตัวลง ราคาขายลดลง กำลังการผลิตทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จะกดดันผลประกอบการของ STA ตลอดปี 2565
"ไม่ใช่ปีที่ดีของ STA" ก็อาจจะไม่ผิดอะไรเลย ....
ฝ่ายวิจัยมองว่า ราคาเหมาะสม Fair Value ของ STA เท่ากับ 33 บาท (จากเดิมให้ไว้ 41 บาท) แนะนำนักลงทุนไปซื้อ NER ที่ธุรกิจยางพารายังโตต่อเนื่องแทน
-----------------------------