เวลาเราพูดถึงกลุ่มค้าปลีก โดยเฉพาะบริษัทที่ขายสินค้าประเภท "โชว์ห่วย" ด้วยแล้ว สิ่งแรกที่นักลงทุนจะนึกถึงก็คือ
"กำไรน้อย" ... "มาร์จิ้นบาง"
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ดูตัวอย่างจากหุ้นหลายๆบริษัท เช่น
>>> Makro มี Net Margin ราวๆ 2-3%
>>> CPALL มี Net Margin ราวๆ 3%
>>> KK (เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์) มี Net Margin ราวๆ 1.5%
.
แต่บทสรุปนี้คงใช้ไม่ได้กับ TNP หรือบริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) ที่มีการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง ...
ถ้าเราไปดูข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ จะเห็นว่ามีการเติบโตตลอด
ปี 2561 บริษัทมีรายได้ 1.77 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 65.1 ล้านบาท
ปี 2562 บริษัทมีรายได้ 1.96 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 88.6 ล้านบาท
ปี 2563 บริษัทมีรายได้ 2.21 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 133.8 ล้านบาท (ช่วงโควิด)
.
ปี 2564 ผลประกอบการ 9 เดือน บริษัทมีรายได้ 1.94 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 138.7 ล้านบาท (ช่วงโควิด)
อัตรากำไรสุทธิราวๆ 3-4% แต่มาหลังๆจะเห็นว่าอัตรากำไรสุทธิกระโดดสูงถึง 6-7%
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ที่อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟังแบบนี้ครับ ...
ปัจจัยการเติบโตของ TNP หลักๆมาจาก 3 ประการด้วยกัน คือ
1. การเปิดสาขาใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบันมีอยู่ 38 สาขา ที่ช่วยกันสร้างรายได้ให้โตต่อมากกขึ้น รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนเริ่มกลับมาดีขึ้นหลังผ่านพ้นโควิด ยังมีเรื่องของการท่องเที่ยวเริ่มดีขึ้นหนุนกำลังซื้อ ทำให้ธุรกิจประเภทร้านค้าปลีกได้รับอานิสงค์ตามไปด้วย
2. การบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ
ผลประกอบการย้อนหลังจะเห็นว่า Gross Margin ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น กระแสเงินสดของบริษัทได้รับมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการเริ่มทำค้าส่งมากขึ้น สินค้ายกลัง รวมถึงการจัดโปรโมชั่น เช่น ซื้อของเพิ่มได้ส่วนลด จ่ายเงินสดได้ส่วนลด ทำให้สินค้าถูกขายได้เยอะตามเป้าของบริษัทมากขึ้น
3. การกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะประชาชนจะเกิดการซื้อเพิ่มขึ้น ซื้อมากขึ้น ยิ่งทางรัฐบาลมีการแจกที่มากกว่าเดิม ยิ่มทำให้คนหันมาซื้อของมากขึ้น
บทวิเคราะห์เคทีบี วิเคราะห์ว่า ผลประกอบการไตรมาส 4 ของปี 2564 TNP มีแนวโน้มโตได้มากถึง 38% มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ
1. สาขาที่มาขึ้น
2. กำลังซื้อมากขึ้น เข้าสู่ช่วง High Season ของจังหวัดเชียงราย รวมถึงการอัดฉีดจากภาครัฐเพิ่มเงินสวัสดิการจาก 400 บาท เป็น 700 บาท และ TNP ก็เป็นหนึ่งในสมาชิกธงฟ้า จะได้รับประโยชน์ไปด้วย
3. การปรับ Product Mix ทำให้ Gross Margin ดูดีมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังปรับตัวไปสู่การขยาย E-Commerce ขายของออนไลน์ผ่านเว็บไซด์ รวมถึง Shopee และ Lazada ที่กำลังจะทำในอนาคต
และยังเป็น Partner กับทาง Flash Express เปิดจุดรับพัสดุทั้งหมด 38 สาขา รอบรับการขายออนไลน์อีกด้วย
ฝ่ายวิจัยมองว่ากำไรสุทธิของปี 2564 จะอยู่ที่ 189 ล้านบาท ... เติบโต 41% จากปี 2563
และปี 2565 บริษัทจะมีกำไรสุทธิราวๆ 208 ล้านบาท ... เติบโต 10% จากปี 2565
โดยมีจุดเด่นสำคัญคือ ได้รับประโยชน์จากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่เพิ่มมากขึ้น
ลองคำนวนเล่นๆดูว่า ถ้า TNP ได้กำไรตามที่ฝ่ายวิจัยคาดจริงๆในปี 2565 ที่ 208 ล้าน เท่ากับว่าจะมี EPS อยู่ที่ 0.26 บาทต่อหุ้น ณ ระดับราคา 5.40 บาท เท่ากับว่ามี P/E ที่ 20 เท่า ถือว่าไม่แพงมากนักถ้าเทียบกับคู่แข่งเดียวกันในอุตสาหกรรมอย่าง KK ที่มี P/E ราวๆ 35 เท่า
--------------------
ขอบคุณแหล่งข้อมูล
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย