BlackRock เป็นบริษัทจัดการการลงทุนของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1988 มาจนถึงปัจจุบัน
การอยู่ในแวดวงตลาดทุนและการลงทุนมาอย่างยาวนานทำให้เป็นที่ไว้วางใจจากนักลงทุน สถาบันขนาดใหญ่จำนวนมาก
เป็นธรรมดาที่บริษัทใหญ่ขนาดนี้จะออก Paper บทวิเคราะห์การลงทุนประจำปี
ในปี 2565 BlackRock ได้แนะนำนักลงทุนถึงธีมการลงทุนที่น่าสนใจของปี 2565 เอาไว้ 3 ธีมด้วยกัน คือ
1. Digital Transformation
2. ESG opportunities
3. Climate Change
ธีมการลงทุนแรก คือ Digital Transformation
ว่าด้วยเรื่องของการนำ Digital Technology เข้ามาปรับใช้กับทุกภาคส่วนขององค์กร ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่รากฐานขององค์กรไปจนถึงกระบวนการส่งมอบให้ลูกค้า เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบองค์กรอย่างมีกลยุทธ์ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยให้ตามทันโลกเศรษฐกิจ และไม่โดน Digital Disruption ซึ่งก็คือสภาวะที่ธุรกิจถูกทำให้หยุดชะงักในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเกิดจากการพัฒนาเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด การไม่พัฒนาในตัวองค์กร หรือการมี "Disruptive Challenge" จากผู้ที่เข้ามาแข่งขันในธุรกิจ
ซึ่งเวลาเราพูดถึง Digital Transformation จะแบ่งออกเป็น 3 ข้อใหญ่ๆ คือ
1. 5G
การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเทคโนโลยี 5G ในอดีตก่อนเกิดโควิดระบาด เรามักจะได้ยินเรื่องของ 5G แต่อาจะไม่เข้าใจมันสักเท่าไรนัก แต่พอเกิดโรคระบาดเราจะเริ่มเห็นความสำคัญของอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะเรื่องของความเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำงาน ประชุมออนไลน์ หาความบันเทิงผ่านการฟังเพลง ภาพยนตร์ ล้วนแต่ต้องใช้เทคโนโลยี 5G เข้าช่วยเหลือ และเชื่อว่าในอนาคตไม่ใช่แค่ปีนี้เท่านั้น เทคโนโลยี 5G จะมีบทบาทสูงมากในชีวิตประจำวันของคนเรา
2. Customer Data Platform หรือ CDP
ระบบที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้า และนำข้อมูลไปวิเคราะห์เพื่อนำไปใช้งานต่อที่หลากหลาย หรือทีเรามักเรียกกันว่า Big Data ช่น วิเคราะห์หา Customer Insight ความเห้นของลูกค้า การทำการตลาดให้เหมาะสมเฉพาะบุคคล Personalized Marketing ทำให้บริษัทไม่สามารถตอบสนองลูกค้าได้ทันท่วงที
3. Hybrid Cloud
การทำงานอย่างไร้รอยต่อระหว่างพนักงานภายในองค์กร รวมถึงองค์กรกับลูกค้าแบบทุกที่ทุกเวลาด้วยเช่นเดียวกัน องค์กรหลายแห่งมีการวางสถาปัตยกรรมองค์กรแบบ Hybrid Cloud ซึ่งเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างระบบโครงสร้างพื้นฐานของระบบ Private Cloud และ Public Cloud ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการ ช่วยให้สามารถรับส่งข้อมูลอย่างมั่นคงปลอดภัย ซึ่งได้ขยายขอบเขตจาก IT แบบดั้งเดิม เป็นการตอบโจทย์การใช้งานในวงการต่าง ๆ
ด้วยความนิยมของ Cloud มากขึ้น ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ที่เรียกว่า IDC หรือ Internet Data Center
เมื่อ IDC นิยมมากขึ้น ส่งผลให้เกิดธุรกิจใหม่ นวัตกรรมใหม่ๆอย่าง Cybersecurity ความปลอดภัยในโลกอินเตอร์เน็ตจะกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง เช่น ความปลอดภัยในโลกของธนาคาร การโจมตีผ่านระบบ Clound เป็นต้น
ธีมการลงทุนที่สอง คือ ESG opportunities
ESG คือ แนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย
E = Environment สิ่งแวดล้อม
S = Social สังคม
G = Governance ธรรมาภิบาล
ปัจจุบันการทำธุรกิจแบบดั้งเดิมจะคำนึกถึง กำไร และ การจัดการความเสี่ยง ซึ่งเป็นปัจจัยบ่งบอกความสามารถในการแสวงผลประโยชน์ระยะสั้น แต่สำหรับองค์กรที่จะอยู่ในอนาคตได้จะต้องมีเรื่องของ ปัจจัยอีก 3 ตัว ที่นำมาชี้วัดความสามารถในการแสวงผลประโยชน์ระยะยาว (long-term gain) ศึ่งก็คือ ESG นั่นเอง
BlackRock แสดงความคิดเห็นว่า "สังคมทุกวันนี้เรียกร้องให้ธุรกิจมีความรับผิดชอบมากขึ้นเรื่อยๆ" ตั้งแต่คนยุค Millennials ไปจนถึง Gen Z และ Gen Alpha เติบโตภายใต้การศึกษาที่ดีขึ้นกว่ายุคที่ผ่านมา ผู้คนมีความคาดหวังจากแบรนด์มากกว่าการผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสมราคา แต่ยังเรียกร้องให้ธุรกิจมีจุดยืนทางสังคมที่ดีและมีความรับผิดชอบต่อสังคม
แน่นอนว่าในเรื่องของการลงทุน มีนักลงทุนสถาบันและผู้จัดการกองทุน เลือกบริษัทที่จะลงทุน ต้องดูบริษัทที่คำนึงถึงสังคมและมีจิตสำนึกต่อสังคมส่วนรวมด้วยเช่นเดียวกัน ถือเป็นอีกธีมที่มองข้ามไม่ได้ครับ
ธีมการลงทุนที่สาม คือ Climate Change
ธุรกิจที่ลดโลกร้อน คำนึงถึงการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ ...
การใส่ใจเรื่องการเกิดก๊าซเรือนกระจกซึ่งทำให้โลกร้อน เป็นกระแสที่เริ่มทำให้ผู้คนทุกวงการหันมาให้ความสำคัญ ซึ่งรวมทั้งนักลงทุน ด้วย นักลงทุนซึ่งมีพลังอำนาจคือเงินทุนในมือ สามารถเลือกไปลงทุนกับธุรกิจที่ดูแลลดปัญหาโลกร้อนเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้โลกนี้ได้มากขึ้น
BlackRock แสดงความคิดเห็นว่าหนึ่งในธีมการลงทุนที่น่าสนใจ คือ EV รถไฟฟ้ารวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องไปกับรถไฟฟ้า เช่น ผู้ผลิตแบตเตอร์รี่ ชิ้นส่วนยานยนต์
นี้ก็เป็น 3 ธีมการลงทุนจาก BlackRock ที่อยากนำมาเล่าสู่กันฟังครับ ...