เริ่มปี 2565 ได้ไม่นาน สิ่งที่สร้างความกังวลใจมากที่สุดในการลงทุน คือ
"สภาวะที่ FED ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกกว่าที่คาด และลดการอัดฉีด QE เร็วกกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดกันไว้"

ทำไมเราถึงกังวลประเด็นนี้กัน ?
การส่งสัญญาณการปรับเปลี่ยนนโยบายของ FED คือ ลดขนาดการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE Tapering) และสิ่งที่จะตามมาในระยะต่อไปคือการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นภายในเดือนมีนาคม สาเหตุหลักเป็นเพราะ "แก้ปัญหาเงินเฟ้อ"
... ถ้าเป็นไปอย่างที่คาดจริงจะส่งผล "เชิงลบ" ต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก

ฝ่ายวิจัยเมย์แบงก์ วิเคราะห์ว่าจากสถิติที่ผ่านมา ....
โดยใช้ตัวเปรียบเทียบเป็น MSCI World Value Index ตัวแทนของหุ้นมูลค่า
และ MSCI World Growth Index ตัวแทนของหุ้นเติบโต ผลปรากฏว่า

>>> ถ้าเมื่อไรอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ของสหรัฐ พุ่งสูงขึ้น ผลตอบแทนของหุ้นมูลค่า จะ "ดีกว่า" หุ้นเติบโตที่ปรับตัวลดลง
>>> ถ้าเมื่อไรอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ของสหรัฐ ลดต่ำลง หุ้นเติบโตจะให้ผลตอบแทนที่ "ดีกว่า" หุ้นคุณค่า

นั่นหมายความว่า ถ้า FED มีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจริง จะถือเป็น "ปีของ Value Stock" ...
แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อหุ้นของประเทศไทยด้วย
เพราะหุ้นของประเทศไทยส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยหุ้น Value จำนวนมาก

ดังนั้นฝ่ายวิจัยของเมย์แบงก์ มองว่า "หุ้นไทยยังน่าจะไปต่อได้"
ในอดีตที่ผ่านมา การอัดฉีดสภาพคล่องของ FED ประเทศไทยที่เป็นเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม (Old Economy) แทบจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย และแนวโน้มของการลดอัตราดอกเบี้ยจะนำไปสู่การลงทุนในตลาดหุ้นไทย 3 กลุ่มที่น่าสนใจ และ 2 กลุ่มที่มีความเสี่ยง คือ

== กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ==
1. หุ้นคุณค่าที่มีแนวโน้มกำไรเติบโต อัตรากำไรสูง เช่น SPRC, GLOBAL
2. หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น เช่น KBANK
3. หุ้นที่มีแนวโน้มกำไรถึงจุดเร่งตัว เช่น PLANB, OCEAN

== กลุ่มหุ้นที่มีความเสี่ยง ==
1. หุ้นเติบโต โดยเฉพาะหุ้นที่ปรับขึ้นมาจากการกระตุ้นของ FED ในช่วงที่ผ่านมา เช่น กลุ่มอิเล็คโทรนิกส์
2. หุ้นกำไรฟื้นตัวช้า เช่น กลุ่มโรงแรม

ปี 2565 อาจจะเป็นธีมของ Value Stock ที่เป็นหุ้นพื้นฐานดี มีปันผล และราคายังไม่แพง
ส่วนหุ้นที่มีความเสี่ยงกลับกลายเป็น Growth Stock ที่ขึ้นมามากช่วงการกระตุ้นเศรษฐกิจของอเมริกา

----------------------------

ขอบคุณแหล่งข้อมูล
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์เมย์แบงก์